“วิโรจน์” แฉ เงินทุจริต พุ่ง 3 แสนล้านต่อปี ชง แก้กฎหมาย ปราบคอร์รัปชัน
วิโรจน์ แฉ เงินทุจริต พุ่ง 3 แสนล้านต่อปี ชง แก้กฎหมายปราบคอร์รัปชัน
วันที่ 8 ธันวาคม 2566 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พร้อมด้วย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร่วมแถลงข่าวจับตานโยบาย “ชำแหละปัญหา-เสนอทางแก้คอร์รัปชัน” เพื่อส่งสัญญาณไปสู่รัฐบาล เนื่องในโอกาสที่วันพรุ่งนี้ (9 ธันวาคม 2566) เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล พร้อมเสนอมาตรการที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลสามารถจัดการปัญหาได้ทันที
นายวิโรจน์ ระบุว่ามูลค่าของการทุจริตคอร์รัปชัน มีการประเมินว่าสูงถึง 3 แสนล้านบาทต่อปี เทียบเท่ากับงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ 1 ปี เป็น 42 เท่าของงบประมาณกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และเป็น 3 เท่าของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
และเมื่อพิจารณาจากดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index – CPI) ตั้งแต่ปี 2555-2565 จะเห็นได้ว่าการทำรัฐประหารในปี 2557 ที่อ้างว่าเพื่อมาจัดการปัญหาการทุจริต กลับทำให้ปัญหาการทุจริตอยู่ในจุดที่เสื่อมทรามลง และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก็เป็นเพียงเอกสารที่ไม่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงปัญหาคอร์รัปชันในเชิงระบบใดๆ กลายเป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยด้วยซ้ำ
นายวิโรจน์กล่าวต่อไป ว่าการทุจริตมูลค่า 3 แสนล้านบาทที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ส่วนใหญ่มาจากการปล้นผู้ประกอบการที่รับงานภาครัฐ ระดมไถจากภาษีของประชาชน ทำให้การลงทุนภาครัฐอยู่ในจุดที่ด้อยคุณภาพ สาธารณูปโภคต่ำกว่ามาตรฐานที่ประชาชนควรจะได้รับ ทั่วโลกรู้ คนในประเทศรู้ เคยมีการสำรวจพบด้วยซ้ำว่า 1 ใน 6 ของคนไทยเคยเข้าไปมีส่วนโดยตรงในการถูกเรียกรับผลประโยชน์
ทั้งนี้ เท่าที่ตนได้ติดตามปัญหา ประเทศไทยยังคงอยู่ในวังวนของหลุมดำของการคอร์รัปชันทั้ง 9 หลุม ประกอบด้วย :
1) ระบบตั๋วเส้นสาย การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง ระบบอุปถัมภ์ และเครือข่ายทุนผูกขาด
2) การขาดความโปร่งใส และอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ ทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะที่ตรวจสอบได้ลำบาก
3) กฎหมายปิดปาก การคุกคามสื่อ และการลิดรอนเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์
4) การใช้อำนาจขององค์กรอิสระที่ปราศจากความรับผิดชอบ ไร้กลไกในการตรวจสอบถ่วงดุล แม้ความอิสระจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดี แต่ความอิสระก็สามารถเป็นสิ่งที่เป็นภัยร้ายได้ เมื่อองค์กรที่แอบอ้างว่าเป็นคนดีสามารถใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลจากภาคประชาชนหรือองค์กรอื่นใด
5) กฎหมายที่ล้าสมัย ที่เอื้อให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ เอื้อให้เกิดการผูกขาดหรือการฮั้วประมูล
6) การใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน ตั้งธงใช้นิติสงครามเล่นงานคนที่คิดต่าง แต่เมื่อพวกพ้องของตนเองทำผิด กลับสามารถหาข้ออ้างพิสดารมาปกป้องให้พ้นผิดได้อยู่เสมอ
7) ความไม่จริงจังในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาการคอร์รัปชัน หรือมีการบังคับใช้อย่างล่าช้า รวมถึงมีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายมาหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตาม
8) การตอบสนองต่อการทุจริตคอร์รัปชันอย่างล่าช้าไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้งหลักที่ทำให้คะแนน CPI ตกต่ำ ใช้วิธีปฏิเสธอย่างหน้าไม่อาย ไม่ยอมรับว่ามีการกระทำความผิดหรือมีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นประเด็นที่โจษจันกันไปทั่วโลก ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวางแต่ผู้รับผิดชอบปฏิเสธตลอดเวลาว่าไม่เคยเกิดขึ้น
9) สังคมมองว่าการรีดไถและการเรียกรับผลประโยชน์ที่เป็นเรื่องปกติ กลายเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน
นายวิโรจน์กล่าวต่อไป ว่าที่ผ่านมาการคอร์รัปชันที่สร้างความเสียหายแก่สังคมอย่างมหาศาล มีดังต่อไปนี้
1) ระบบตั๋วและการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นปฐมบทของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน โดยปัจจุบันพบว่าแหล่งเงินในการซื้อขายตำแหน่งไม่ได้มาจากผู้มีอิทธิพลคนไทย แต่หลายแหล่งข่าวแจ้งว่ามาจากทุนจีนสีเทาและมาเฟียข้ามชาติ ทำให้ข้าราชการระดับสูงที่วิ่งเต้นซื้อตำแหน่งมาได้ ต้องคอยเป็นลูกสมุนรับใช้ ปกป้อง และอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ รวมทั้งลูกน้องพรรคพวกของคนเหล่านั้น
2) การเรียกรับผลประโยชน์ การรีดไถส่วยจากธุรกิจผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด บ่อนการพนัน พนันออนไลน์ แรงงานข้ามชาติ การค้าประเวณีเด็ก การลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษีหรือสินค้าผิดกฎหมาย
3) การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตามอำเภอใจ และช่องว่างของกฎหมายที่ล้าหลังและโทษที่ไม่ได้สัดส่วน ในการกลั่นแกล้งรังแก เพื่อเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชนผู้สุจริต ไม่ว่าจะเป็น ส่วยโรงแรม ส่วยสถานบันเทิง ส่วยรถบรรทุก ส่วยตรวจสภาพรถ ส่วยโอนที่ดิน ส่วยใบอนุญาตก่อสร้าง การตั้งด่านรีดไถประชาชน การค้าสำนวน การทำสำนวนให้อ่อน การวิ่งเต้นให้พ้นโทษ
4) การล็อกสเปกและการฮั้วประมูล ผ่านเงื่อนไขที่ถูกสร้างให้การประกวดราคาอยู่ในสภาพผูกขาด เช่นกรณีประกาศคณะกรรมการราคากลาง ที่กีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ของโครงการก่อสร้างทาง เลื่อนชั้นเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เอื้อให้เกิดการฮั้วประมูลโดยถูกกฎหมาย
นอกจากนี้ยังพบว่า โครงการขนาดใหญ่ โครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะหลายโครงการ ใช้ช่องว่างของกฎหมายในการหลบเลี่ยงในการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม ทั้งที่มีข้อมูลทางสถิติยืนยันว่าโครงการที่จัดทำข้อตกลงคุณธรรมนั้นประหยัดงบประมาณได้สูงถึง 31.32%
นายวิโรจน์ กล่าวต่อไป ว่าการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย ไม่สามารถแก้ได้ด้วยท่าทีขึงขังหรือใช้อำนาจเผด็จการข่มขู่ว่าจะปราบปราบ ดูได้จากกรณีของ คสช. ที่แม้ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามมาตรา 44 แต่ก็เป็นที่ปรากฏแล้วว่าอำนาจเหล่านั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันได้เลย ซ้ำร้ายสิ่งที่ คสช. ทำคือการสร้างเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ที่เอื้อพวกพ้องของตนได้เข้าสู่อำนาจ ผูกขาดกินรวบทรัพยากรและผลประโยชน์ของประเทศชาติ จนทำให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันหยั่งรากลึกจนยากที่จะแก้ไข
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจำเป็นต้องแก้ไขที่โครงสร้าง ตลอดจนมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยควบคู่กันไปด้วย มีการดำเนินนโยบาย และตรากฎหมายที่ส่งเสริมความโปร่งใส คุ้มครองเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ตลอดจนมีการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง โดยตนมีตัวอย่างที่ขอนำเสนอ ที่นายกรัฐมนตรีดำเนินการได้ทันที ประกอบด้วย
1) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง, พ.ร.ก.การบริหารการจัดการทำงานคนต่างด้าว และ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อแก้ไขปัญหาส่วยแรงงานข้ามชาติ
2) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.โรงแรม และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เพื่อส่งเสริมให้โรงแรมต่างๆ เลิกถูกรีดไถเสียที สามารถขอจดทะเบียนได้อย่างถูกต้อง ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายในการรีดไถเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการโรงแรมและโครงการก่อสร้างต่างๆ
3) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เพื่อให้เงินนอกงบประมาณมีความโปร่งใสมากขึ้น
4) การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ที่มุ่งเน้นความโปร่งใส และส่งเสริมการตรวจสอบจากภาคประชาชน
5) การเข้าร่วมเป็นภาคีเพื่อการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Partnership – OGP) รวมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลด้านงบประมาณอย่างโปร่งใส
6) การออก พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ (Anti-SLAPP Act) เพื่อส่งเสริมการตรวจสอบถ่วงดุลจากภาคประชาชน
7) การออก พ.ร.บ.ปกป้อง และยกเว้นโทษให้กับผู้เปิดเผยข้อมูลการทุจริต เพื่อการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันทั้งขบวนการแบบถอนรากถอนโคน
8) การแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อไม่ให้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ถูกนำไปใช้คุกคามเสรีภาพในการแสดงออก และการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน
9) การบังคับใช้มาตรา 77 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ อย่างเคร่งครัด ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้มีธรรมาภิบาล ไม่มีระบบตั๋ว ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง และแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สามารถตรวจสอบถ่วงดุลการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในท้องที่ได้อย่างแท้จริง
10) การบังคับใช้มาตรา 131 และมาตรา 176 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อการคุ้มครองพยาน และเอาผิดกับนิติบุคคลที่เสนอเงินสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
11) การแก้ไข พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ, พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และ พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้หลักเกณฑ์ในการขออนุญาตต่างๆ มีความชัดเจน ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ลง ตลอดจนเร่งรัดกระบวนต่างๆ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
12) การแก้ไข พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน, พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพื่อให้โครงการสำคัญต่างๆเข้าร่วมการจัดทำข้อตกลงคุณธรรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
13) การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้องค์กรอิสระ มีการตรวจสอบและถ่วงดุล ไม่อยู่ในสภาพที่แสร้งเอาคำว่า “อิสระ” มาเป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยปราศจากความรับผิด
14) การแก้ไขประกาศของคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ไม่ให้มีเนื้อหาสาระที่กีดกันการเลื่อนชั้นของผู้รับเหมา จนทำให้ผู้รับเหมาชั้นพิเศษอยู่ในสถานะกึ่งผูกขาด เอื้อให้เกิดการฮั้วประมูล
15) การทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรอิสระ เช่น การอาศัยมาตรา 85 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และมาตรา 32 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการแก้ไขปรับปรุง กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ และมติ ครม. ต่างๆ ที่เอื้อให้เกิดการผูกขาด หรือเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้ดุลพินิจหรือใช้ช่องว่างของกฎหมายในการเรียกรับผลประโยชน์