“พิชัย” จี้ ทุจริตพุ่งสูง แทบทุกด้าน โดยเฉพาะทุจริตทางอำนาจ
“พิชัย” ชี้ 4 ปีหลังเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 1% และจะยิ่งทรุด แนะ ต้องเร่งเปลี่ยนรัฐบาลก่อนไทยล้าหลังตกยุค
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ดละการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานเสวนา “หยุด ประยุทธ์ หยุด คอร์รัปชั่น หยุด ยาเสพติด หยุด ธุรกิจสีเทา” ว่า การทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลเกิดขึ้นมาตลอด และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดยังมี ดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจไทยไถเงิน ต่อจากคลิปนักท่องเที่ยวจีนจ้างตำรวจไทยรับตั้งแต่สนามบินจนมีรถตำรวจนำพาเที่ยวที่คนเข้าดูเป็นล้านๆคน และก่อนหน้านี้ก็มีคดีตู้ห่าว ซึ่งเกี่ยวพันถึงหลานชายพลเอกประยุทธ์ที่พลเอกประยุทธ์ไม่ยอมตอบคำถามสื่อ และก็มีการทุจริตของอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่เกี่ยวข้องเป็นญาติกับเพื่อนสนิทพลเอกประยุทธ์ นอกจากนี้ยังพิสูจน์ชัดเจนจากดัชนีสากลที่วัดความโปร่งใสในการทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งปรากฏว่าอันดับความโปร่งใสของประเทศไทย ลดลงมาโดยตลอด โดยในปี 2560 อยู่อันดับ ที่ 96 ปี 2561 อยู่อันดับที่ 99 ปี 2562 อยู่อันดับที่ 101 และ ปี 2563 อยู่อันดับที่ 104 และ ปี 2564 อยู่อันดับที่ 110 ซึ่งชัดเจนว่า ทุจริตในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาตลอด
การทุจริตขยายวงกว้างในทุกวงการ ทั้งเรื่อง ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ทั้งเรื่องการซื้อขายเพื่อโยกย้ายตำแหน่ง จนเป็นสาเหตุให้ยาเสพติดระบาดมาก การดันทุรังซื้อเรือดำน้ำทั้งที่เครื่องยนต์ไม่ตรงสเป็ก แต่จะเอาเครื่องยนต์อื่นใส่ เรือล่มโดยไม่มีเสื้อชูชีพเพียงพอ รวมไปถึงทุจริตด้านนโยบาย การอนุญาตให้เกิดการผูกขาด ซึ่งเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
แต่การทุจริตที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบอย่างมากกับประเทศจนถึงปัจจุบันคือการทุจริตทางด้านอำนาจ ซึ่งทำให้ประเทศเสื่อมถอยจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร และยังจะสืบทอดอำนาจโดยการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อเข้าข้างตนเอง แต่ความรู้ความสามารถไม่ถึงทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่จนถึงปัจจุบัน พอคนวิจารณ์ก็ถูกเรียกปรับทัศนคติเหมือนที่ตนเคยถูกเรียกทั้งหมด 12 หน และตั้งแต่มีการเลือกตั้งในปี 2562 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยยังอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหนเลย เศรษฐกิจปี 2562 ขยายได้เพียง 2.4% ในปี 2563 เศรษฐกิจติดลบที่ – 6.2% จากวิกฤติการณ์โควิด ในปี 2564 ขยายได้เพียง 1.5% และปี 2565 น่าจะขยายได้เพียง 3% รวม 4 ปีแล้วเศรษฐกิจไทยยังขยายได้ไม่ถึง 1% ตลอด 4 ปีซึ่งย่ำแย่อย่างมาก แต่พลเอกประยุทธ์ก็ยังจะอยากอยู่ต่อ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจจะไม่ได้ดีนัก เพราะเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี และอาจจะถึงขนาดเป็นเศรษฐกิจถดถอยได้ เวิล์ดแบงก์ ลดการคาดประมาณเหลือแค่ 1.7% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวของไทยได้ อีกทั้งยังจะมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ 5 เรื่องคือ เรื่องปัญหาหนี้ ทั้งหนี้ประเทศ และ หนี้ครัวเรือน และหนี้เสียในระบบ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอย ที่มีการลดการคาดประมาณเรื่อยๆ ปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะยังเป็นขาขึ้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% และมีแนวโน้มจะขึ้นอีก และน่าจะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน ปัญหาเงินเฟ้อที่ปีที่แล้วพุ่งถึง 6.08% และ ปีนี้น่าจะทะลุ 3% และ ปัญหาราคาพลังงาน ที่ราคาไฟฟ้า และ ราคาก๊าซยังพุ่งสูง โดยพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เตรียมตัวหรือแผนรองรับเลย ทุกวันนี้ทำทุกอย่างเพื่อจะรักษาอำนาจ และเพื่อจะเป็นนายกต่อไปเท่านั้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาของประเทศมากขึ้น เพียงเพราะต้องการรักษาอำนาจ และเป็นการทุจริตทางอำนาจทีทำความเสียหายอย่างร้ายแรง
ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเป็นปัญหาของประเทศไทยอย่างมาก หลายครั้งถูกสร้างเป็นวาทกรรม แต่ปัจจุบันปัญหาทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องจริงและมีเพิ่มขึ้นมาก ขนาดดัชนีชี้วัดสากลยังยืนยัน รัฐบาลปัจจุบันคงแก้ไขไม่ได้แล้ว ดังนั้นการหยุดการคอรัปชั่นและการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นจะเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการทุจริตทางอำนาจ และ การปรับระบบราชการเป็นระบบดิจิตอลจะแก้ปัญหาและป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นได้และจะยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก และอยากให้เชื่อมั่นพรรคเพื่อไทยให้เข้ามาเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ก่อนที่ประเทศไทยจะล้าหลังตกยุคไปมากกว่านี้