“กรณ์” เจาะสุราษฎร์ธานี ส่ง 3 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กวาดคะแนนเสียง
“กรณ์” นำทีมพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดวิสัยทัศน์ 3 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุราษฎร์ธานี ชูนโยบาย งานดี มีเงิน ของไม่แพง รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ จับตา ชุดนโยบาย พร้อมปล่อยทุกสัปดาห์ เน้นรื้อโครงสร้าง ปลดแอกประชาชน เชื่อ สะเทือนหลายวงการ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี (12 ม.ค. 2566) พรรคชาติพัฒนากล้า ได้จัดเวทีเปิดวิสัยทัศน์ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรค ใน จ.สุราษฎร์ธานี ภายใต้ชื่องาน “งานดี มีเงิน ของไม่แพง รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจสุราษฎร์ธานี” นำทีมโดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายอรัญ พันธุมจินดา ผู้อำนวยการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค โดยมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างเนืองแน่น
สำหรับว่าผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานี ที่ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในวันนี้ มี 3 คน จาก 3 เขตเลือกตั้ง คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขตเลือกตั้งที่ 5 นายวศุธน เรืองขนาบ ซึ่งว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 คน เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ มีความตั้งใจ และพร้อมที่จะนำประสบการณ์การทำงานมาพัฒนาสุราษฎร์ธานีให้เข้มแข็ง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาว จ.สุราษฎร์ธานี ให้ดีขึ้น โดยทุกคนได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง
นายอนุวัตร์ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 1 เคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมากว่า 8 ปี ทั้งตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองท่าข้าม ประธานสภาเทศบาลเมืองท่าข้าม และสมาชิกสภาเทศบาลเมืองท่าข้าม 2 สมัย ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยนายอนุวัตร์ กล่าวว่า ตนมีความมุ่งมั่นที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างมูลค่าเพิ่มในทุกระดับการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่ไม่สร้างความเสียหายทางจริยธรรมทางสังคม การเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญระหว่าง กลไกทุน และระบบความคิดของประชาชน ที่จะทำให้เมืองสุราษฎร์ธานีก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่การจะไปสู่จุดหมายได้นั้น ต้องมีความกล้าที่จะกำจัดสิ่งปนเปื้อนประชาธิปไตยไทยให้หมดไปสิ้นไป พลเมืองของแผ่นดินจะเลือกเส้นทางใด ระหว่างสิ่งปนเปื้อน หรือเป็นผู้กำจัดสิ่งปนเปื้อน
นางพงศ์ศรี ว่าที่ผู้สมัครเขต 2 ประกอบอาชีพ ทนายความ ชาวบ้านเรียกว่า ทนายอ๋อย เจ้าของธุรกิจโรงแรม และสำนักงานทนายความ โดยเจ้าตัวเปิดเผย ถึงเหตุผลในตัดสินใจเข้าสู่การเมือง ว่า เนื่องจากมีแรงผลักดันจากวิกฤตชีวิตของครอบครัว ที่เกือบต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทั้งสามี ลูก และหลาน เนื่องจากการเดินทางที่ยากลำบากเพื่อให้ได้รับเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันท่วงที จึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลักดันการก่อสร้างสะพานข้ามเกาะสมุย เพื่อช่วยเหลือชาวเกาะสมุย ที่ต้องประสบปัญหาความเดือดร้อนจากการผูกขาดการเดินทาง ของเครื่องบิน และเรือข้ามฟาก ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากกว่าคนบนเกาะถึง 2 เท่า และยังเป็นปัญหาต่อการทำมาหากิน การสร้างสะพาน จึงเป็นการชุบชีวิตคนรากหญ้า และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนพบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เห็นด้วยที่จะให้สร้างสะพานเชื่อมเกาะ ประชาชนต้องสามารถกำหนด กฎเกณฑ์การเข้าเกาะสมุย ไม่ใช่เอกชนเพียงไม่กี่รายที่ได้ประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน
นายวศุธน ว่าที่ผู้สมัคร เขต 5 เป็นนักธุรกิจเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ มีความสนใจการเมือง เนื่องจากพรรคชาติพัฒนากล้า ให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาเสนอตัวรับใช้คนสุราษฎร์ธานี ซึ่งตนต้องการเห็นเศรษฐกิจสุราษฎร์ดี คนสุราษฎร์รวย รู้เท่าทันเทคโนโลยี ถึงเวลาแล้วที่สุราษฎร์ธานีต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิรูปสังคมให้ทันยุคทันสมัย ปลดล็อคการค้าเสรี สุรา เบียร์ ต้องไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุน นอกจากนี้ตนยังสนใจกีฬามวยไทยเป็นพิเศษ และพร้อมผลักดันสู่การเป็น Soft power ซึ่งคุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค ได้ประกาศจุดยืนในเรื่องนี้มาตลอด
ด้าน นายกรณ์ กล่าวว่า สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ทั้งด้านการเกษตรและท่องเที่ยว ในแง่ทรัพยากรธรรมชาติได้เปรียบหลายจังหวัด แต่ขาดแรงผลักดันที่จะไปต่อ ทั้งที่สามารถทำได้ดีกว่านี้มาก เช่นเดียวกับ สะพานข้ามเกาะสมุย ตนก็เห็นด้วยที่จะต้องสร้าง เพราะต้นทุนความเป็นอยู่ของชาวเกาะสมุยสูงกว่าแผ่นดินใหญ่มาก ซึ่งการมีสะพานนอกจากสร้างเศรษฐกิจให้กับชาวเกาะสมุย และจ.สุราษฎร์ธานีแล้ว ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาคใต้ ที่สามารถต่อยอดการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ โครงการมอเตอร์เวย์ จะต้องเกิดที่ภาคใต้ เพราะจะทำให้ต้นทุนความเป็นอยู่ของประชาชนลดลง โอกาสในการค้าขายเพิ่มขึ้น ซึ่งในทุกความคิด ทุกข้อเสนอ จะมีโอกาสผลักดันให้เป็นจริงได้ ถ้าประชาชนไว้วางใจ ว่าที่ผู้สมัคร 3 คน ของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่พรรคได้คัดสรรมา ว่าจะเป็นผู้แทนที่ดีให้กับ ชาวสุราษฎร์ธานีอย่างแน่นอน ซึ่งตนและว่าที่ผู้สมัคร ก็พร้อมสู้ในทุกสนามเลือกตั้ง
นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เปิดพื้นที่ให้คนทั้ง รุ่นเก๋ามากประสบการณ์ ผสมผสานคนรุ่นใหม่ที่มีจินตนาการ ได้มีโอกาสมารับใช้ชาติ เพื่อให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจไทยต้องเข้มแข็งเพื่อการแข่งขันได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้าการเมืองไทยยังเป็นแบบเดิม โอกาสที่ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงต้องยึดความกล้าเป็นปัจจัยและเงื่อนไขในการทำงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนทุกช่วงวัย ที่ผ่านมานโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ยกตัวอย่าง นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่เคยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน นับวันนับปี เงินภาษีก็ใช้ไปเรื่อย ๆ แต่คนก็ยังจนเหมือนเดิม
“ถึงเวลาที่ต้องรื้อโครงสร้างในหลาย ๆ ระบบ อย่างปีที่ผ่านมา เราชนเรื่อง โครงสร้างราคาน้ำมัน เรากล้าชนกับทุนใหญ่ และอุตสาหกรรมน้ำมัน ภาคการเมืองไม่ขานรับ แต่ประชาชนสนับสนุนเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ต้องสู้ระดับโครงสร้างซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยความกล้า และล่าสุดเราเปิดเรื่อง ระบบสินเชื่อ ที่ต้องแก้ระบบการประเมินเครดิตประชาชน ยกเลิกแบล็กลิสต์เครดิตบูโร มาใช้เครดิตสกอร์แทน จนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาประกาศว่า แบล็คลิสต์ไม่มีจริง ซึ่งผมอยากถามว่า และ 5.5 ล้านคนที่ถูกตัดออกจากสารบบ หมดโอกาสทำกิน จนบางรายต้องพึ่งหนี้นอกระบบ เจอดอกเบี้ยมหาโหดเหมือนตกนรกทั้งเป็น เหล่านั้นคืออะไร ก็คงเหมือนกับที่มีการออกมาประกาศว่า ไม่มีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคานั่นแหล่ะครับ ซึ่งประชาชนรู้ดีว่าคืออะไร ” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ กล่าวยืนยันว่า พรรคชาติพัฒนากล้า ไม่ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียว แต่เราเสนอทางออกให้ด้วย ไม่ใช่ด่าแล้วทำไม่ได้จริง ตรงนี้สำคัญ และจากนี้ไป พรรคชาติพัฒนากล้า จะออกชุดนโยบายมาอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เพื่อปลดแอกให้กับประชาชน ซึ่งในแต่ละนโยบายจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับหลายวงการ และย้ำว่าเราไม่ได้แค่ต้องการคะแนนเสียง แต่อย่างน้อยเราได้มีโอกาสได้นำเสนอ เพราะอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ที่สร้างสรรค์ นี่คือโอกาสที่จะแสดงให้คนไทยเห็นว่า มีเรื่องอะไรที่ต้องแก้ ขออย่ากระพริบตา
ขณะที่ นายวรวุฒิ กล่าวเสริมว่า ตนตัดสินใจเข้าสู่การเมือง เพราะมองเห็นโอกาสการเติบโตของเอสเอ็มอี เป็นไปได้ยาก ถ้าต้องแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ และการที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ต้องเข้าสู่การเมือง เพื่อแก้ไขระบบที่ไม่เอื้อต่อคนตัวเล็ก ให้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ลดต้นทุนค่าครองชีพลง และหลังวิกฤตโควิด สิ่งที่จะดึงเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นได้เร็วที่สุดคือ การท่องเที่ยว คาดว่าปีหน้าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเท่ากับก่อนโควิดคือ 40 ล้านคน จ.สุราษฎร์ธานี เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีโอกาสทางด้านการท่องเที่ยวสูง และสิ่งที่ควรสนับสนุนควบคู่ไปคือ เศรษฐกิจสายมู ที่จะสามารถเชื่อมต่อไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ร้านอาหาร สินค้าชุมชน เรื่องเหล่านี้ต้องพัฒนาคุณภาพดีขึ้นไปอีก นอกจากนี้ต้องเร่งส่งเสริมให้ประชาชนค้าขายออนไลน์เป็น ซึ่งเป็นโอกาสที่ทุกคนสามารถทำได้ และสิ่งที่พัฒนาควบคู่ไปคือ การแปรรูปสินค้า การทำเกษตรพรีเมียม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ถ้าทำได้ก็จะทำให้คนสุราษฎร์ธานี และคนไทยทั้งประเทศไทยพ้นกับดักความยากจนอย่างแท้จริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ และนายวรวุฒิ ยังได้เข้าหารือกับ สมาคมส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี (คพอ.) และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC ที่สะท้อนปัญหาเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ และโอกาสในการพัฒนาสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่ทำเกษตรกรรม และสถานที่ท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าสามารถจะพัฒนาได้ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ คือระบบราชการ ที่ตัดโอกาสประชาชน และที่สำคัญคือการเมืองเก่าที่ไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง