‘ชาติพัฒนากล้า’ ยกทีม “ปลุกเป้าหมาย สร้างไฟในชีวิต” ให้กับนักศึกษา ม.ราชภัฎสุราษฎร์ธานี
“จูรี” ฟิต หลังเปิดตัวลงสมัคร ส.ส. เขต 2 สงขลา ปันประสบการณ์ ขายออนไลน์สร้างรายได้หลักล้านต่อเดือน พลิกชีวิตได้จริง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์พรึบ ร่วมสร้างงแรงบันดาลใจ
ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2565 ทีมงานคนรุ่นใหม่พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายวรนัยน์ วาณิชกะ,นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์, นายพัสกร วรรณศิริกุล นางสาววิเวียน จุลมนต์,นางสาวกชพร คีรีโชติ ยกทีมไปร่วม ปลุกเป้าหมายสร้างไฟในชีวิต ให้กับนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ภายใต้โครงการ “My Life My Goal” และมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติพัฒนากล้า นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 นางพงศ์ศรี นาคเมือง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 และนายวศุธน เรืองขนาบ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เข้าร่วมสร้างแรงบันดาลใจด้วย โดยได้รับความสนใจจากนักศึกษาเป็นจำนวนมาก
นายวรวุฒิ กล่าวว่า ปัจจุบันตนเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านที่ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจเครื่องเขียน แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ต้องใช้เวลาถึง 30 ปี ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็กตนเป็นเด็กขี้เกียจมาก ไม่อ่านหนังสือ ไม่ตั้งใจเรียนเกเรและถูกทำโทษทุกวัน เรียนติดเอฟถึง 12 วิชา 40 หน่วยกิต แต่วันหนึ่งธุรกิจเครื่องเขียนห้องแถวที่บ้านกำลังจะเจ๊ง ครอบครัวกำลังจะล้มละลาย และอาจต้องหนีหนี้ไปอยู่ต่างจังหวัด นั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้หันมาตั้งใจเรียน และต่อยอดธุรกิจของครอบครัวปรับวิธีการโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย สร้างความแตกต่างจนประสบความสำเร็จ จนอยู่แถวหน้าของธุรกิจเครื่องเขียน ทุกอย่างมันอยู่ที่จังหวะ โอกาสอยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเห็นไหม และคว้ามันมาได้หรือเปล่า และขอฝากน้อง ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า “เดินหมากรุก ยังต้องคิด หมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร”
นายวรนัยน์ พูดถึงการสร้างคนที่ประสบความสำเร็จ โดยยกตัวอย่าง อีลอน มัสก์ ในแง่มุมของนักธุรกิจที่เก่งกาจ เพราะเขาสร้างโอกาสให้ตัวเองทำจริงจัง แต่ถามว่าประเทศไทยจะมีคนที่จะประสบความสำเร็จขนาดนั้นได้ไหม คำตอบคือ มีแต่ไม่มากด้วยปัจจัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือรัฐสวัสดิการ ซึ่งถ้าจะให้ยั่งยืนประชาชนต้องร่วมลงทุนด้วยกัน แต่เวลานี้ เพดานของผู้เสียภาษีเมื่อเทียบกับเรามีแรงงานในระบบ 40 ล้านคน แต่คนที่ลงทะเบียนเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล 13 ล้านคน คนที่จ่ายภาษีจริง ๆ มี 3 ล้านคน ที่เหลือ 14 ล้านคนได้รับยกเว้นภาษี และมีบัตรคนจน ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อมที่ทุกคนประสบอยู่ ทั้งน้ำมันแพง ข้าวของเครื่องใช้แพงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราอยากมีรัฐสวัสดิการเราต้องร่วมลงทุนด้วย
“ผมจะเสนอรัฐบาลให้ตั้งกองทุน 3 พันล้าน เพื่อสร้าง 1 หมื่นธุรกิจต่อปี สำหรับนักศึกษาที่กำลังจะจบ แน่นอนไม่สามารถให้ทุกคนได้ แต่จะให้ทุนกับคนที่มีแนวคิด มีนวัตกรรม นำเสนอรูปแบบใหม่ ๆ ต่อยอดเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง เราอาจจะเห็นอีลอน มัสก์ จูเนียร์เกิดขึ้นได้” นายวรนัยน์ กล่าว
ด้านนางสาวกชพร สร้างแรงบันดาลใจด้วยการแบ่งปันประสบการณ์ ว่า ตนสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง 5 ล้านบาท ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปี 3 ซึ่งความจริงได้เริ่มหาเงินด้วยตัวเองตั้งแต่ช่วง ม.4 แล้ว ทั้งขายเสื้อผ้า และของที่เป็นกระแส ได้เงินแต่ไม่มาก จนมาประสบความสำเร็จจากการขายกล้องโพลาลอยด์ ผ่านทางไอจี เป็นเจ้าแรก จากเงินลงทุนที่ไม่มากนัก ที่สามารถทำได้เพราะมีฝันอยากเรียนต่อประเทศอังกฤษ ในที่สุดตนก็ทำได้ และจุดสำคัญของบการจะประสบความสำเร็จจริง ๆ ได้คือ การตัดสินใจและลงมือทำ
ขณะที่นายพัสกร กล่าวว่า สังคมปัจจุบันมีความวุ่นวาย สับสน ส่งผลต่อชีวิต จิตใจ ของทุกคน จะมากหรือน้อยแตกต่างกัน ไป สิ่งที่ตนจะแบ่งปันคือเรื่องความสมดุลกายใจ ที่จะต้องประสานกัน เมื่อใดที่ไม่ประสานงานกัน บางคนอยู่ในภาวะซึมเศร้า ซึ่งเราจะสามารถพัฒนาภาวะนั้นไปในทางสร้างสรรค์ได้ คือ ต้องรู้จักตนเอง รู้จักที่จะอ่อนโยนต่อความรู้สึกของตัวเอง ทบทวนตัวเอง เรียนรู้ตัวเองและเติบโตจากมัน เราเอาความเกลียด ความโกรธ ไปลงที่อื่นเป็นไปสร้างงานศิลปะ เพราะถ้าเราเอาความโกรธไปลงที่คนดื่นด้วยการด่า เราก็จะได้รับการด่ากลับ มันเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม เป็นคลื่นใต้น้ำที่เรามองไม่เห็น เราควรสร้างสันติภาพได้ด้วยจิตวิทยา สำหรับคนที่เหนื่อยหรือท้อ มันมีหลายทางที่สามารถช่วยได้ ทั้งการนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ดูแลร่างกาย ความเชื่อ เราถูกเตะจนล้มและเราสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ปัญหามีได้แต่เราต้องมีพลังใจอย่าใช้กิเลสนำ
นางสาวยศยา กล่าวถึง ธุรกิจมูเตลูที่สร้างเม็ดเงินได้ ว่า ตนเองเป็นคนที่เชื่อในศาสตร์มูเตลู และสิ่งศักดิ์สิทธิ เพราะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตในช่วงที่เป็นซึมเศร้า หมดค่ารักษาไปหลายแสนบาท และทันทีที่ตัดสินใจโยนยาทิ้ง แล้วหันเข้ามาธรรมะ ดูแลตนเอง จนกลับมายืนได้อีกครั้ง และก็มาคิดว่าเมื่อเรารักและศรัทธาในศาสตร์มูเตลู เราก็น่าจะต่อยอดเป็นธุรกิจได้ เลยตัดสินใจ ทำธุรกิจก่อสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ ทำธุรกิจเครื่องหอม ลิปสาลิกา แป้งนะหน้าทอง ฯลฯ จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ทุกคนก็สามารถจะทำได้ โดยต่อยอดจากสิ่งที่เราเชื่อ เรารัก เราศรัทธา ไม่ต้องฟังคนอื่น ไม่ต้องไปตามคนอื่นมากไปกว่าสิ่งที่หัวใจของตัวเองต้องการ จงใช้ชีวิตให้เหนือชีวิต เราเป็นเจ้าของชีวิต
ด้านจูรี ดาวติ๊กตอก ชื่อดัง ได้แบ่งปันประสบการณ์ว่า ตัวเองเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาที่มีฐานะยากจน ทำงานหนักมากตั้งแต่เด็ก ทำงานมาทุกอย่างตั้งแต่ จับกังแบกข้าวสาร ทำงานในร้านสะดวกซื้อ รับจ้างทั่วไป แต่เราก็มีความฝันที่อยากเป็นนักการเมือง จึงไปเรียนกฎหมาย จนสามารถเรียนจบได้ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง จากนั้นก็เข้ารับราชการ เป็นผู้ประกาศ มีเงินทองพอเลี้ยงครอบครัว แต่แล้ววันนึงเกิดภาวะวิกฤตโควิด ถูกเลิกจ้างเงินหมด มีแต่หนี้เต็มตัว จึงตัดสินใจจะไปขับรถรับจ้าง ในขณะที่มีครอบครัวมีลูกถึง 3 คน ภรรยาอีก 1 คน ไม่พอเลี้ยง เครียด จึงได้เรียนรู้การทำออนไลน์ ในระยะแรกไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งมาเป็นที่รู้จักจากการทำคลิปวิเคราะห์ข่าวชาวบ้าน จากนั้นก็ได้เรียนรู้และทำคอนเทนท์ ขยายผลไปทุกแพลตฟอร์ม มีคนติดตามนับล้านคน จนได้เงินแสนต่อเดือน ต่อมาเริ่มขายออนไลน์ มีสินค้ามาให้รีวิวถึงกว่า 600 แบรนด์
“ก่อนทำคลิปคอนเทนท์ เราต้องหาบุคลิกเราให้เจอก่อนว่าเราต้องการอะไร เพราะไม่ใช่ว่ามันจะเหมาะกันทุกคน เมื่อพบแล้วก็พัฒนามันแตะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ฉันทำคลิปต่อเนื่องทุกวันตามเงื่อนไขของเพจ ที่พอมีคนติดตามครบ 10,000 คน จนมีเงินตั้งแต่เงินหมื่น เงินแสน จนถึงเงินล้าน มีคนติดตามปัจจุบันล้านกว่าคน เธอคิดดู เวลาฉันขายของออนไลน์ มันเหมือนฉันมีตลาดใหญ่ที่มีคนมาเดินตลาดล้านกว่าคน คิดดูว่าถ้าต้องเปิดร้านที่ให้คนมาเดินนับล้านคนเราต้องใช้ที่กี่ร้อยไร่ ต้องลงทุนเท่าไร แต่ในตลาดออนไลน์เราไม่ต้องลงทุนอะไร นอกจากมีสินค้า มีคอนเทนท์ และมีสไตล์เป็นของตัวเอง มันสามารถสร้างรายได้ให้เราจริง วันนี้ฉันสามารถเกษียณจากงานประจำและดูแลครอบครัวได้แล้ว ฉันทำงานออนไลน์มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วจนถึงวันนี้ฉันมีเงินในบัญชีแล้ว 52 ล้านบาท จึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้พวกเธอ ฉันประสบความสำเร็จได้เธอก็ต้องทำได้” จูรี กล่าว
จูรี กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้ ตัวเองตัดสินใจลงการเมือง เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.สงขลา ในนามพรรคชาติพัฒนา เพราะเห็นว่า สงขลาปัจจุบันกับ 30 ปี ที่แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ และการเมืองก็ยังเป็นการเมืองแบบเดิม ที่สืบทอดอำนาจจากนามสกุลเดิม ๆ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงให้คนสงขลา เป็นคนร่ำรวย เหมือนตนที่ทำได้แล้ว