‘บิ๊กป้อม’ เคาะ ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จังหวัดชายแดนใต้ อีก 3 เดือน
‘บิ๊กป้อม’ นั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคาะ ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 3 เดือน
วันที่ 7 ก.ย. 2565 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 2/65 ผ่านระบบ VTC เพื่อติดตามขับเคลื่อนงานการแก้ปัญหาพื้นที่ จชต.
ที่ประชุมรับทราบ รายงานสถานการณ์ข่าวและการขับเคลื่อนงานการแก้ปัญหาในพื้นที่ จชต. และผลการขับเคลื่อนงานของคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหา จชต. ปี 2565 รวมทั้ง ติดตามการขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาทักษะภาษาเพื่อการสื่อสารในพื้นที่ และการส่งเสริมบทบาทสตรีในพื้นที่ให้มีบทบาท ไม่กีดกันและแบ่งแยกทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่ ยกเว้น อ.ศรีสาคร อ.สุไหงโก-ลก อ.แว้ง อ.สุคิริน จังหวัดนราธิวาส รวมทั้ง อ.ไม้แก่น อ.แม่ลาน จังหวัดปัตตานี และ อ.เบตง อ.กาบัง จังหวัดยะลา ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่ 20 ก.ย. – 19 ธ.ค.65
ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ (ร่าง) แผนการสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาไทยมุสลิม ที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ พ.ศ.2566-2570 ที่ครอบคลุมการดูแลนักศึกษาที่ประสงค์จะเดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนการเดินทาง ระหว่างศึกษาและหลังสำเร็จการศึกษา โดยแผนดังกล่าว ได้รับความร่วมมือและมีส่วนร่วมด้วยดีจากทุกภาคส่วน เพื่อการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม เน้นส่งเสริมภาษาและ สร้างสัมพันธ์อันดีกับชุมชน การเสริมระบบสาธารณสุข ความรู้ด้านอาชีพ กระบวนการทางความคิด ( Mindset ) และการพัฒนาทักษะภาษาที่จำเป็น โดยปัจจุบันคาดการณ์ว่ามีนักศึกษาไทยมุสลิม ศึกษาต่อในต่างประเทศมากกว่า 6,000 คน
พลเอก ประวิตร ฯ ได้ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสนับสนุนพัฒนาบุคลากรไทยทุกเชื้อชาติและศาสนา เพื่อร่วมกลับมาร่วมเป็นกำลังหลักพัฒนาประเทศ โดยกำชับให้จัดทำระบบฐานข้อมูลร่วมกันและดึงทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการศึกษา พร้อมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ มีความเข้าใจและขับเคลื่อนดำเนินงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ พร้อมย้ำสั่งการ ต้องพยายามสื่อสารทำความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่ให้มากขึ้น ทั้งงานความมั่นคงและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และต้องดูแลไม่ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ร่วมกันไปอย่างต่อเนื่อง