“เพื่อไทย” ปลุกรื้อถอนวัฒนธรรมข่มขืน หยุดบทละคร นางเอกโดนข่มขืน
อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ปลุก” รื้อถอนวัฒนธรรมข่มขืน หยุดบทละคร พระเอกข่มขืนนางเอก
วันที่ 22 เมษายน 2565 น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงความเห็นกรณีการคุกคามทางเพศว่า รื้อถอนวัฒนธรรมข่มขืน รื้อฟื้นสังคมที่ปลอดภัย หลายคนคงเห็นข่าวที่น่าสะเทือนใจจากกรณีนักการเมืองชื่อดังท่านหนึ่งมีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องนี้เกิดขึ้นแม้กระทั่งกับเด็กอายุ 18 ปี และ ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ มีผู้เสียหายที่เคยถูกกระทำจากบุคคลคนเดียวกันนี้ตั้งแต่การลวนลามไปจนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นการ “ข่มขืน” ผู้ถูกกระทำหลายรายต่างทยอยมาเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจมากถึง 15 ราย ซึ่งหญิงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราในฐานะผู้หญิงด้วยกัน หรือ ในฐานะเพื่อนมนุษย์ไม่ควรนิ่งนอนใจหรือวางเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้
น.ส.อรุณี ระบุ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อนักการเมืองคนนี้จากทั่วทุกสารทิศ กลับมีข้อความจำนวนมากจาก “คนบางกลุ่ม” ที่ต่างออกมา “ให้กำลังใจ” นักการเมืองคนดังกล่าวอย่างไม่สนใจความถูกผิด หนำซ้ำบางคนยังหลับหูหลับตาเชียร์โดยไม่สนใจอะไร กลับออกมาแสดงความคิดเห็นมากมายในทำนองว่ากล่าวหาและลดทอนคุณค่าความเป็นคนของผู้ถูกกระทำ
น.ส.อรุณี ระบุ วัฒนธรรมข่มขืน (Rape Culture) คือ การอธิบายปรากฎการณ์ที่สังคมพยายามปฏิเสธการมีอยู่ของการข่มขืน หรือทำให้การข่มขืนดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีค่าควรที่จะสนใจทั้งในทางกฎหมาย ทางศีลธรรม หรือการเยียวยาผู้ถูกกระทำ ในทางกลับกันสังคมกลับดูถูกและเหยียดหยามผู้เป็นเหยื่อว่าสมยอม และเห็นอกเห็นใจผู้กระทำ
น.ส.อรุณี ระบุ ในสังคมที่มีวัฒนธรรมข่มขืน มองว่าการข่มขืนเป็นเรื่องของอารมณ์ทางเพศ หรือ “กำหนัด” และมองว่า กำหนัดเกิดจากการถูกกระตุ้น ถ้าไม่ถูกกระตุ้น ก็จะไม่เกิดความกำหนัด เมื่อไม่เกิดความกำหนัดก็จะไม่เกิดการข่มขืน จึงกลายเป็นคำอธิบายว่า ทำไมคนในสังคมที่มีวัฒนธรรมข่มขืนจึงมองว่า เหยื่อที่ถูกข่มขืนเพราะไปยั่วหรือกระตุ้นความกำหนัดของผู้กระทำ กลายเป็นว่า เพราะไปยั่วเขาก่อนไงเลยถูกข่มขืน เพราะแต่งตัวโป๊ไงเลยถูกทำอนาจาร เพราะไม่ดูแลเนื้อตัวร่างกายของตัวเองไงเลยถูกลวนลาม
“ถ้อยคำเหล่านี้ คือ การประณามเหยื่อ (Victim Blaming) ทำให้เหยื่อผู้ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจากผู้ที่ข่มขืน ยังต้องมาถูกทำร้ายจิตใจจากคำพูดของสังคมอีก ทำให้เหยื่อหลายรายเลือกที่จะไม่แจ้งความเอาผิดผู้ข่มขืน เพราะกลัวถูกประณามจากสังคมและคนรอบตัว เหยื่อเหล่านั้นเลือกที่จะเก็บกดความเจ็บช้ำที่ขื่นขมไว้กับตัวเอง จนเหยื่อหลายรายกลายเป็นโรคซึมเศร้า และหลายคนต้องจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย”
“หนำซ้ำสื่อบันเทิงจำนวนมาก กลับเลือกที่จะสร้างบทหนังบทละครที่พระเอกข่มขืนนางเอก และพระเอกกับนางเอกก็รักกันในท้ายที่สุด บทเหล่านี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพจำที่มองว่า การข่มขืนเป็นเรื่องเล็กน้อย ไหนจะกระบวนการยุติธรรมในประเทศที่ถูกตั้งคำถามมากมายถึงความเที่ยงตรง จนทำให้เหยื่อไม่เชื่อมั่นว่า เขาจะได้รับความเป็นธรรม”
น.ส.อรุณี ระบุ เราต้องระดมทุกช่องทางเพื่อรื้อถอนวัฒนธรรมข่มขืนนี้ทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องและกระบวนการยุติธรรม เพราะกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเราออกแบบมาเพื่อคนข่มขืนไม่ใช่เหยื่อ ตั้งแต่การสอบปากคำ การให้เหยื่อต้องรวบรวมพยานหลักฐาน การใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจในความยุติธรรมของหน่วยงานตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงศาล ว่าจะไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาแทรกแซงและใช้อำนาจอิทธิพลเหนือกระบวนการยุติธรรมได้
น.ส.อรุณี กล่าวว่า สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าว หนังหรือละคร จะต้องช่วยเสริมสร้างพลังของเหยื่อมากกว่าจะออกแบบฉากข่มขืนให้เป็นสิ่งชอบธรรมของผู้กระทำ ต้องช่วยตอกย้ำถึงความเป็นธรรมที่เหยื่อควรได้รับ