เทพไท แนะ ครม.งดขบวนรถนำ ก่อนบอกประชาชนช่วยประหยัดน้ำมัน
เทพไท เรียกร้อง ครม.ลดการใช้รถเป็นตัวอย่าง ก่อนไปแนะนำประชาชน เสนอ 5 แนวทางประหยัดนำ้มัน
วันที่ 14 มี.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ข้อเสนอของรัฐบาลให้จอดรถส่วนตัวไว้ที่บ้าน ให้ใช้รถสาธารณะแทนว่า เป็นข้อแนะนำในการปัญหาที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง เพราะในยุคปัจจุบันรถยนต์ยังมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าจะแนะนำให้ประชาชนงดใช้รถส่วนตัวไปก่อน รัฐบาลต้องให้คนในรัฐบาล ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเสียก่อน เพราะตอนนี้รัฐมนตรีแต่ละคน ยังมีรถนำขบวน และมีรถขบวนผู้ติดตามจำนวนหลายคันอยู่เหมือนเดิม ไม่มีการปรับลดขบวนผู้ติดตามให้เข้ากับยุคน้ำมันแพงเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าบุคคลเหล่านี้ ไม่ได้จ่ายค่าน้ำมันเองยังคงใช้น้ำมันหลวงอยู่
สำหรับคำแนะนำที่ดีต่อประชาชนนั้นก็คือ 1.ใช้รถเท่าที่จำเป็น 2.ตรวจเช็คระบบหัวฉีดของเครื่องยนต์เพื่อประหยัดน้ำมัน 3.เปลี่ยนใช้รถยนต์คันเล็กหรือซิตี้คาร์ 4.ใช้รถเครื่องยนต์ดีเซล 5.เปลี่ยนรถรุ่นเก่าใช้รถรุ่นใหม่แทน จะประหยัดน้ำมันกว่า
ส่วนตัวก็เจอกับสภาพปัญหาน้ำมันแพงเหมือนกับคนไทยทุกคน ที่น้ำมันเบนซินราคาลิตรละเกือบ 50 บาท จากเดิมที่เคยเติมน้ำมันเต็มถัง ใช้เงิน 1700 บาท แต่ตอนนี้เติมเต็มถังต้องใช้เงิน 2500 บาท จึงจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการใช้รถยนต์ประจำวัน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะน้ำมันแพง โดยคัดเอารถยนต์รุ่นเก่า และเครื่องยนต์ที่มีซีซีสูง และเป็นรถที่ใช้น้ำมันเบนซิน ได้ให้คนขับรถล้างทำความสะอาด คลุมผ้าเก็บไว้ก่อน แล้วหันมาใช้รถยนต์รุ่นใหม่ ที่ใช้น้ำมันดีเซลดีกว่า จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับตัวเอง และประเทศชาติด้วย
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการตรึงราคานำ้มันดีเซล จะยืนยาวไปได้นานแค่ไหน เพราะนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คงเหลืออยู่ประมาณ 40,000 ล้านบาทเท่านั้น ถ้าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในระดับนี้ ก็คงจะใช้เงินกองทุนนี้ได้ถึงเดือนพฤษภาคมเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องช่วยตัวเอง ตามหลัก อัตตาหิ อัตโนนาโถ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า รัฐบาลจากพยุงราคาน้ำมันดีเซลไปได้นานแค่ไหน
เพราะถ้าราคาน้ำมันดีเซลราคาทะลุลิตรละ 30 บาท และรัฐบาลปล่อยให้ลอยตัวตามสภาพราคาตลาด ก็จะกระทบกับต้นทุนการผลิตในทุกๆด้าน ผลที่ตามมาก็คือ ราคาสินค้าทุกชนิดจะปรับตัวขึ้นราคาอย่างแน่นอน ประชาชนต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นกันต่อไป