พาดหัวรัฐบาลยันจับจริงแรงงานเถื่อนทะลักเข้าไทย
โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ำและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย จากการที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับไปยังหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองในพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน เร่งสกัดการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่เข้ามาทุกช่องทางทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานเถื่อน อาชญากรรม รวมทั้งลดความเสี่ยงในการนำเข้าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีการคัดกรอง ทำให้มีการจับกุมได้จำนวนมาก ทั้งนี้ ล่าสุดวานนี้ (10 ธ.ค. 64) จุดตรวจศิลาสลัก จุดตรวจทุ่งตาพล จุดตรวจในวง สามารถจับกุมชาวเมียนมาเป็นชาย 16 คน หญิง 4 คน รวม 20 คน จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้งหมดเดินทางมาจากประเทศเมียนมาโดยรถทัวร์โดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 25,000 บาทต่อคน ซึ่งในขณะนี้ได้ทำการควบคุมตัว และส่งไปยัง สภ.ละอุ่น เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำให้มีการสืบสวนทั้งกระบวนการโดยเฉพาะหากมีข้าราชการส่วนใดเข้าไปเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษตามกฎหมายสูงสุด
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ มีจำนวน 4,079 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 4,060 ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 19 ผู้ป่วยสะสม 2,135,996 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 7,302 ราย หายป่วยสะสม 2,062,827 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 53,455 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 39 ราย
“นายกรัฐมนตรียังขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ นายจ้าง ให้เข้มงวดในการจ้างงานแรงงานที่ถูกกฎหมาย ตามมาตรการเข้าประเทศของแรงงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านตาม MOU โดยแรงงานที่เข้ามาได้รับการคัดกรองโควิด-19 และมีสถานที่ทำงานที่ชัดเจน ซึ่งทั้งบุคคล สถานที่ประกอบการ และกิจการ ก็ปลอดภัยจากความเสี่ยงไวรัสโควิด-19 เพราะแม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้นกว่า 98 ล้านโดส แต่นายกรัฐมนตรียังย้ำเสมอว่า ไทยจะต้องไม่ประมาท และต้องปิดทุกช่องเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทุกสายพันธุ์” นายธนกรฯ กล่าว