“พิธา” เบรก ชัชชาติ หลังเสนอ กทม.ซื้อวัคซีนเอง
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เบรก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หลังเสนอ กทม.ซื้อวัคซีนเอง ชี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล มิเช่นนั้น มือใครยาวสาวได้สาวเอา
(14 ม.ค.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม เสนอให้กรุงเทพมหานครใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่จำนวน 8 ล้านคน ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง เช่นที่เทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครแหลมฉบัง ที่จะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนในเขตของตนเอง ว่า กรณีวัคซีนโควิด เราต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลสร้างระบบ มือใครยาวสาวได้สาวเอา ซึ่งถือว่าเป็นข้อเสนอที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน เป็นความหวังดีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการได้ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม อยากให้เราย้อนกลับมาฉุกคิดตรงนี้ ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่มีงบประมาณเหลือมากที่สุด และมีหน้าที่โดยตรงในการจัดการปัญหานี้คือใครกันแน่ โดยเห็นว่าเป็นหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐบาลไทย การแยกกันจัดการจัดหา จะยิ่งเพิ่มภาระทางการเงินการคลังของแต่ละท้องถิ่น และยังส่งผลต่อการบริหารจัดการแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนทั้งประเทศอย่างเป็นธรรมตามหลักการทางการแพทย์ด้วย
นายพิธา กล่าวว่า เพราะวัคซีนโควิดนั้นไม่ใช่ส่วนเสริมให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นแบบใครจะทำเพิ่มหรือไม่ทำก็ได้เหมือนกับการสร้างหอชมเมืองที่แต่ละท้องถิ่นตัดสินใจเลือกเองว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร แต่นี่เป็นความจำเป็น ในสถานการณ์วิกฤต ที่ทุกคนจะต้องได้ฟรี เหมือนกับวัคซีนอื่นๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขฉีดให้ประชาชนฟรีอยู่แล้ว เช่นวัคซีนวัณโรค คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ฯลฯ
“ไม่นับว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดในประเทศไทย ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชนในเขตตนเองหรือไม่ เพราะมีอีกหลายแห่งที่ขาดงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีน กลายเป็นว่าจะมีบางแห่งที่ประชาชนได้วัคซีน บางแห่งไม่ได้ เพราะไม่มีงบประมาณ กลายเป็นระบบ มือใครยาวสาวได้สาวเอา”
ดังนั้น หากเรามองในภาพใหญ่ทั้งประเทศ เป็นการดีที่สุดที่จะต้องยึดตามหลักการเดิมไว้ นั่นคือให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยในการใช้งบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชนที่ตนเองมีเหลือใช้อยู่แล้ว เพื่อจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทุกคนในประเทศนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ รัฐบาลเปิดเผยแผนว่าจะมีการจัดหาวัคซีนให้เพียงครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเท่านั้น และมีท่าทีสนับสนุนให้ท้องถิ่นจัดซื้อหาวัคซีนกันเอง เท่ากับว่าประชาชนไทยอีกครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพิงกับแต่ละท้องถิ่นว่าจะทำหรือไม่ทำ
ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศนั้น เห็นว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันจัดการกระจายวัคซีนไปยังประชาชนในพื้นที่เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้มีข้อมูลประชาชนในพื้นที่ละเอียดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ
และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ก็คือการช่วยเหลือ เยียวยา สนับสนุน ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันของประชากร ทั้งอาชีพ วัย ลักษณะการใช้ชีวิต ฯลฯ ย่อมมีความต้องการช่วยเหลือแตกต่างกัน ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดการงบประมาณตรงนี้ได้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนได้ดีเพราะใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า ท่ามกลางมาตรการของรัฐบาลที่ยังไม่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักมากเพียงพอต่อความต้องการ ซ้ำร้ายยังไม่ครอบคลุมแรงงานในระบบด้วยซ้ำไป
“ผมขอฝากความหวังดีไปยังคุณชัชชาติและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนว่า เราต้องอย่าหลงลืมทวงบทบาทหน้าที่สำคัญของรัฐบาลในวิกฤตครั้งนี้ อย่าปล่อยให้รอดจากความรับผิดชอบหลักของตัวเองไปได้เรื่องงบประมาณ ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนมีคุณภาพและมีจำนวนเพียงพอให้ประชาชนทุกคน เราเองต้องไม่ปล่อยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควักเงินจ่ายกันเอง เอื้อให้รัฐบาลสร้างระบบ มือใครยาวสาวได้สาวเอา”