ศบศ.ไฟเขียว “คนละครึ่ง” เฟส2

รัฐบาลทุ่มงบประมาณเกือบ 50,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงต้นปี 2564 ของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย 2 กลุ่มใหญ่คือ คนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน รับเงินเพิ่ม 500 บาท จำนวน 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) และโครงการคนละครึ่ง เฟสแรกเพิ่มอีกคนละ 500 บาท เฟส2 ลงทะเบียนใหม่รับ 5 ล้านคน คนละ 3,500 บาท ใช้ 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) 15 ล้านคน เริ่มลงทะเบียนกลางเดือนนี้
ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ ภายใต้ชื่อ ศบศ.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2563 มีมติที่สำคัญคือ เห็นชอบมาตรการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 เริ่มเดือนม.ค.จนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า และได้เห็นชอบมาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 500 บาท เริ่มเดือนม.ค.จนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า รวมงบประมาณที่จะต้องใช้ทั้งสิ้น 43,500 ล้านบาท
“เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากพิษโควิด-19 จึงเรื่องที่ดีที่รัฐบาล ตัดสินใจดำเนินโครงการที่สำคัญนี้ต่อไป” นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวและกล่าวว่า สภาพัฒน์ฯ เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เพราะเป็นมาตรการที่เข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และที่สำคัญ มีร้านค้ามากกว่า 890,000 แห่งเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” แล้ว
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เราตัดสินใจเสนอให้นายกฯ ขยายมาตรการดังกล่าว เพราะเห็นว่า ระยะเวลาที่เหลือจากปีนี้ไปจนปิดโครงการอีกประมาณ 1 เดือนเศษ ยังมีประชาชนที่ลงทะเบียนแล้ว ยังใช้เงินไม่หมด 3,000 บาท จึงตัดสินใจเพิ่มให้อีกคนละ 500 บาทร่วม เป็นเงิน 3,500 บาท ใช้ได้ถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า
“คนที่พลาดโอกาสในเฟสแรก ก็สามารถมาลงทะเบียนใหม่ได้ ในรอบนี้ โดยถือว่า เป็นเฟส 2 ได้รับเงิน 3,500 บาท และจะเปิดลงทะเบียนหลังจากผ่านการพิจารณาจาก ครม.แล้ว และคาดว่า กลางเดือนนี้ น่าจะเปิดลงทะเบียนได้”
ทั้งนี้ ศบศ.ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการ “คนละครึ่ง” โดยมีรูปแบบการดำเนินเช่นเดียวกับระยะแรกที่ภาครัฐจะร่วมจ่าย 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน แต่มาตรการในระยะที่ 2 มีรายละเอียดเพิ่มเติม ประกอบด้วย
1.การเปิดให้มีการลงทะเบียนรับสิทธิเพิ่มเติมอีก 5 ล้านคน โดยจะได้รับวงเงินคนละ 3,500 บาท ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิจากโครงการคนละครึ่ง ระยะที่หนึ่ง เนื่องจากไม่ได้ใช้จ่ายภายใต้โครงการภายในวันที่กำหนดไว้หลังจากที่ลงทะเบียนรับสิทธิไปแล้ว จะยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการระยะที่สองได้ มีกำหนดการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1ม.ค. ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2564
2.เพิ่มวงเงินผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่หนึ่ง (เฟสแรก) อีกคนละ 500 บาท โดยจะขยายระยะเวลาการใช้สิทธิมาตรการระยะที่หนึ่งออกไปจนถึงวันที่ 3 มี.ค.2564
ส่วนมาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลังจะเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 3 เดือน โดยมีระยะเวลาการดำเนินการตั้งแต่เดือนม.ค.ถึงเดือนมี.ค.2564
“ทั้ง 2 มาตรการนี้ ดีอยู่แล้ว เพียงแต่เราปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยเฉพาะมาตการคนละครึ่งในเฟสแรก เราเปิดลงทะเบียนถึง 3 ครั้ง ถึงครบ 10 ล้านคน คนกลุ่มแรกประมาณ 7 ล้านคน มียอดการใช้เงินใกล้หมดแล้ว แต่ยังมีส่วนที่เหลือประมาณ 2-3 ล้านคนที่ยังใช้เงินไม่หมด จึงต้องขยายมาตรการออกไป” นายพรชัย กล่าว และยอมรับว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ใช้เงินวันละประมาณ 100 บาท แต่ก็มีบางรายใช้จ่ายเพียง 40-50 บาทเท่านั้น
นอกจากนี้ ศบศ.ยังเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกอบด้วย เห็นชอบการปรับปรุงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ปรับปรุงขอบเขตการใช้สิทธิจำนวนการจองห้องพักจากเดิมประชาชนจองที่พักได้ไม่เกิน 10 คืน (Room night) ต่อ 1 สิทธิ เพิ่มเป็น 15 คืนต่อ 1 สิทธิ
2.ขยายช่วงเวลาการจองที่พัก จากเวลา 06.00 – 21.00 น. เป็นเวลา 06.00 – 24.00 น.
3.เพิ่มจำนวนห้องพักในโครงการจากเดิม 5 ล้านคืน เป็น 6 ล้านคืน ทั้งนี้ จำนวนห้องที่เพิ่มมาจะสนับสนุนเฉพาะ E-voucher แต่ไม่อุดหนุนเรื่องค่าที่พัก
4.ขยายระยะเวลาการใช้สิทธิโครงการถึง 30 เม.ย. 2564
5.เพิ่มโรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตฯ แต่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้
6.อนุมัติให้ธุรกิจและบริการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวสามารถใช้ระบบคูปองออนไลน์ (E-Voucher) ได้ ประกอบด้วย ธุรกิจการขนส่งภาคท่องเที่ยว ธุรกิจสปาหรือนวดเพื่อสุขภาพ
7.ปรับปรุงเกณฑ์สนับสนุนค่าบัตรโดยสารเครื่องบินจากเดิมรัฐสนับสนุนร้อยละ 40 แต่สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อ 1 สิทธิ เป็นสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อ 1 สิทธิ เฉพาะการเดินทางไปท่องเที่ยวในจังหวัดที่ภาคท่องเที่ยวพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ และเชียงราย
8.กำหนดหลักเกณฑ์การลาสำหรับข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถลาพักร้อนในวันธรรมดาเพิ่มได้ 2 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลาเมื่อใช้สิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
และยังปรับปรุง “โครงการกำลังใจ” ประกอบด้วย
1.เปิดให้บริษัทนำเที่ยวที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้โดยใช้หลักเกณฑ์เดิมของโครงการ
2.บริษัทนำเที่ยวที่กรอกรายการนำเที่ยวไม่ครบ 15 รายการ สามารถกรอกเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ หากกรอกครบ 15 รายการแล้ว
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมได้อีก
3.ระยะเวลาที่จะเปิดให้สมัครเข้าร่วมโครงการและกรอกรายการนำเที่ยวภายใน 15 ธันวาคม 2563
และมาตรการสุดท้าย ได้เห็นชอบโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 55 ปีขึ้นไป และจะต้องเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยวโดยมีระยะเวลาของโปรแกรม
การท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 3 วัน 2 คืน และเดินทางท่องเที่ยวได้เฉพาะวันธรรมดา (เข้าพักในวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี) โดยมีราคาค่าใช้จ่ายต่อโปรแกรมไม่น้อยกว่า 12,500 บาทต่อคนต่อโปรแกรม และรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายผ่านบริษัทนำเที่ยวในลักษณะร่วมจ่ายคนละ 5,000 บาท สำหรับบริษัทนำเที่ยวที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องจดทะเบียนดำเนินธุรกิจ ก่อนวันที่ 1 ม.ค.2563 ทั้งนี้ บริษัทนำเที่ยวแต่ละรายสามารถรับนักท่องเที่ยวผ่านโครงการได้ไม่เกิน 3,000 ราย โดยโครงการมีระยะเวลาการดำเนินการ 3 เดือน
ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2563 มีกิจการร้านค้าลงทะเบียนรวมทั้งหมด 892,375 ร้าน แบ่งเป็นกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ 543,812 ร้าน กิจการที่รอดำเนินการตรวจสอบ 158,917 ร้าน และกิจการไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของโครง การ 7,012 ร้าน
ประเภทของกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ แบ่งเป็น ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 305,644 ร้าน ร้านธงฟ้า 45,054 ร้าน ร้าน OTOP 16,236 ร้าน และร้านค้าทั่วไป 176,878 ร้าน โดยแบ่งเป็นหน้าร้าน 431,690 ร้าน และหาบเร่แผงลอย 112,122 ร้าน
โดยกิจการที่ลงทะเบียน อยู่ในภาคกลาง 357,919 ร้าน ภาคใต้ 171,148 ร้าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 157,228 ร้าน ภาคเหนือ 86,589 ร้าน ภาคตะวันออก 79,854 ร้าน และภาคตะวันตก 39,637 ร้าน
สำหรับผู้ลงทะเบียนรวมทั้งสิ้น 9,565,702 ราย ใช้สิทธิแล้ว 9,525,572 ราย ได้สิทธิแล้วแต่ยังไม่ใช้ 40,130 ราย ปัจจุบันมียอดใช้จ่ายรวม 33,487.3 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายจากส่วนประชาชน 17,101.0 ล้านบาท และรัฐช่วยจ่าย 16,386.3 ล้านบาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 182 บาทต่อคน
ส่วนประเภทของร้านค้าแยกตามสถิติการใช้จ่าย พบว่าประเภทร้านค้าที่มียอดการใช้จ่ายมากที่สุด ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ร้านค้าทั่วไปร้อยละ 33 ร้านธงฟ้าร้อยละ 23 และร้านค้า OTOP ร้อยละ 9 ของยอดการใช้จ่ายรวม
ขณะที่ มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน นำเสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ข้อมูล ณ วันที่ 29 พ.ย. 2563 มีผู้ลงทะเบียนรวม 6.76 ล้านคน ลงทะเบียนสำเร็จ 6.44 ล้านคน โดยมีโรงแรมหรือที่พัก 8,128 แห่ง ร้านอาหาร 65,429 ร้าน สถานที่ท่องเที่ยว 1,959 แห่ง และ OTOP 1,314 แห่ง ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิโรงแรมแล้ว 4,006,805 สิทธิ เป็นมูลค่าห้องพักที่จองทั้งหมด 10,961.3 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยห้องพักต่อคืนที่จอง 2,778 บาท มีจำนวนโรงแรมที่การจองทั้งสิ้น 4,888 แห่ง
โดยมีผู้ที่ได้รับคูปองอาหาร 863,162 ราย ยอดใช้จ่ายทั้งหมด 3,510.4 ล้านบาท และมีผู้ลงทะเบียนเข้าพัก (Check in) แล้วจำนวน 1,417,269 การจอง สำหรับตั๋วเครื่องบิน มีผู้ลงทะเบียนได้รับสิทธิเงินคืนค่าบัตรแล้ว 97,862 ราย มีจำนวนบัตรโดยสารหรือผู้โดยสารที่ได้รับสิทธิแล้ว 216,866 สิทธิ เป็นมูลค่าบัตรโดยสารที่ได้รับสิทธิ 565.3 ล้านบาท สำหรับความคืบหน้ามาตรการกำลังใจ ล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนแล้ว 711,304 คน มีผู้เดินทางท่องเที่ยว 665,789 คน และมีการเบิกจ่ายเงินไปแล้วทั้งสิ้น 1,292,614,000 บาท.