จีน ใช้เงินหยวนสกัดดอลลาร์สหรัฐฯ ในไทย
ธนาคารแห่งประเทศจีน หรือแบงก์ ออฟไชน่า (Bank of China) กำลังก้าวไปอีกขั้นเพื่อเชิญชวนให้นักธุรกิจไทย และนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน ให้เงินหยวนหรือเงินบาทในการชำระหนี้แทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2563 หอการค้าไทย-จีน และธนาคารแห่งประเทศจีน ได้ลงนามความร่วมมือครั้งสำคัญ เพื่อเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทยกับจีนให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น แม้ว่า สถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 จะยังมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก
นายหลี่ เฟิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ Bank of China กล่าวว่า ปัจจุบันนักธุรกิจของจีนให้ความสำคัญและมีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างมาก ขณะที่รัฐบาลจีน ก็มองว่า ประเทศไทยจะเป็นจุดการค้าที่สำคัญในอนาคต เพราะมีความสะดวกในเรื่องของการขนส่งทางเรือ ทางบกและทางอากาศ
“ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพะอุตสาหกรรมยางพารา และเฟอร์ นิเจอร์ นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจ e-Commerce ยานยนต์และชิ้นส่วน ทำให้มูลค่าการค้าขายระหว่างไทยกับจีนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว”
นายหลี่ กล่าวว่า ปัจจุบันเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ยังได้รับความสนใจจากพ่อค้าคนไทยและคนจีน แต่เรากำลังรณรงค์ให้นักธุรกิจไทยกับนักธุรกิจจีน ใช้สกุลเงินของตนเองในการค้าขายเพื่อลดการใช้สกุลที่ 3 ซึ่งที่ผ่านมา Bank of China มีการใช้สกุลเงินหยวนในการชำระหนี้เพียง 20% ส่วนที่เหลืออีก 80% ยังเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะได้รับการยอมรับมากกว่า
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน กล่าวว่า พวกเราสนับสนุนการใช้เงินบาท และเงินหยวนในการชำระหนี้กันเอง เพราะการใช้สกุลเงินที่ 3 (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ทำให้เกิดความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน และยังทำให้ต้นทุนการค้าแพงขึ้น ดังนั้น การลงนามในครั้งนี้ เพื่อเป็นการแจ้งสมาชิกทั้งหมดรับทราบว่า Bank of China มีความร่วมมือกับหอการไทย-จีน ในเรื่องดังกล่าว
“ในเรื่องการค้าและการขยายอิทธิพลของจีนมายังไทย เราก็กลัวเหมือนกัน แต่ในโลกของการทำธุรกิจก็ต้องแข่งขันกับทุกคน และปรับตัวตลอดเวลา ไม่ว่า จีนหรือสหรัฐฯ เราค้าขายได้กับทุกๆ คน”
ส่วนผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 1 ปี2564 ประเด็นที่น่าเป็นที่สุดคือ การท่องเที่ยวและการเมือง แต่ผู้ตอบแบบส่วนใหญ่ กล่าว41% ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี2564 ดีกว่าปี2563 โดย ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวมากกว่า 2.5-3.5%
นอกจากนี้ การมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ จะทำให้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลายลงจะทำให้บรรยากาศการค้าทั่วโลกกลับมามีแนวโน้นที่ดีขึ้นในปีหน้าได้ แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดของนักลงทุน โดย เฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองไทย และมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลในการเปิดรับ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะต้องติดตามกันต่อไป
ทั้งนี้มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน ในรอบ 10 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-ต.ค. 2563) มีมูลค่า รวมทั้งสิ้น 64,763 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 17.89% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย โดยมีการส่งออกไปยังประเทศจีนมูลค่า24,542 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 2.7% คิดเป็น 12.76% ของการส่งออกของไทย