สรรพากรคิดฆ่าห่าน
กรมสรรพากรจะลงโทษอย่างรุนแรงถึงขั้นจำคุกสูงสุด 20 ปี หากผู้ประกอบการใช้ใบกำกับภาษีปลอม ซึ่งถือเป็นโทษทางภาษีสูงสุด เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรไม่เคยฆ่าห่าน
“ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2560 เป็นต้นไป กรมสรรพากรจะเริ่มใช้กฎหมายที่เข้มข้นกับผู้ประกอบการที่ใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ปลอม หลังจากที่กรมสรรพากรได้ผ่อนคลายเรื่องดังกล่าว มานานกว่า 20 ปี ” นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2560 พร้อมระบุว่า
ในช่วงที่ผ่านมา กรมสรรพากรเห็นว่า ผู้ประกอบการไม่มีเจตนาจะหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีการระบาดของใบกำกับภาษีปลอมจำนวนมาก กรมสรรพากรในช่วงนั้น จึงถือโอกาสนี้ เมื่อจับกุมผู้ใช้ใบกำกับมูลค่าเพิ่มปลอมได้แล้วก็ขอให้ผู้ซื้อชี้เบาะแสเพื่อสาวให้ถึงตัวการใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเพราะตัว การใหญ่น่าจะหมดไปแล้ว แต่ในปัจจุบัน ยังตรวจพบการใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มปลอมอยู่จำนวนหนึ่ง จึงทำให้กรมสรรพากรมั่นใจว่า ผู้ประกอบการที่ใช้ใบกำกับภาษีปลอมปัจจุบันถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและมีเจตจาที่จะหลีกเลี่ยง
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา กรมสรรพากรมีบทลงโทษทางอาญาสูงสุดคือจำคุก 7 ปีต่อ 1 กรรม (ใบกำกับภาษีปลอม 1 ฉบับ) แต่รวมแล้วไม่เกิน 20 ปี ซึ่งเป็นบทลงโทษที่ไม่เคยดำเนินการมาก่อนเลย จึงใช้เพียงแค่โทษปรับคือ 1.เสียภาษีอากรให้ครบ 2.เสียค่าปรับและ 3.จ่ายค่าดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ไม่ได้ชำระภาษี เพื่อติดตามรายได้ที่ขาดหายไปกลับคืนมาครบ ส่วนสาเหตุที่จะต้องดำเนินคดีทางอาญาควบคู่ไปด้วยนั้น เพราะยังมีผู้ประกอบการอาศัยช่วงโหว่นี้ ใช้ใบกำกับภาษีปลอมเพื่อลดรายได้ของบริษัท
“ โทษอาญาที่จะเริ่มดำเนินการในเดือนก.ย.นี้ ถือเป็นโทษที่หนักมาก เพราะการใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มปลอมเพียง 1 ใบ ก็มีโทษจำคุกถึง 7 ปี ซึ่งในต่างประเทศก็มีการใช้กฎหมายที่รุ่นแรง และล่าสุดก็มีนักฟุตบอลอาชีพชื่อดังที่เสียภาษีไม่ครบและต้องติดคุกก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ”
นายประสงค์ กล่าวว่า การใช้ใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มปลอม เพราะต้องการลดรายได้ของบริษัทด้วยการเพิ่มรายจ่าย เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาล เช่น ปีที่แล้ว เสียภาษีให้แก่กรมสรรพากรจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ปีนี้ เสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านบาท เนื่องจากกิจการค้าขายมีกำไรดี แต่ไม่อยากเสียภาษีก็ไปซื้อใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มปลอม เพื่อสร้างรายจ่ายเท็จทำให้กำไรของบริษัทลดลง เป็นต้น
ส่วนผู้ที่ขายใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น มีทั้งโทษทั้งทางแพ่งและอาญาอยู่แล้ว
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังอยู่ระหว่างการเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับเทคโนโลยีในอนาคต โดยจะให้สถาบันการเงินเป็นผู้หักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น เงินเดือน ค่าจ้างและอื่นๆ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ด้วย โดยผู้จ่ายภาษีจะต้องบวกภาษีหัก ณ ที่จ่ายไปพร้อมกับจำนวนเงินที่โอน ขณะที่ธนาคารสถาบันการเงินจะเป็นผู้โอนภาษีดังกล่าวให้แก่กรมสรรพากร โดยในเบื้องต้น จะมีช่องว่างให้บันทึกว่า เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพื่ออำนวยความสะดวกและง่ายแก่การตรวจสอบ
“ ในอนาคต กรมสรรพากรจะต้องพัฒนาไปสู่โลกเทคโนโลยีมากขึ้น โดยต้องแบ่งแยกระหว่างระบบอี เพย์เม้นท์ (e-Payment) จะเป็นเรื่องการซื้อขาย การโอนเงินและการชำระเงินภายในประเทศ ขณะที่ e-Business จะเป็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งคาดว่า มีผู้ประกอบการทางด้านซื้อขายสินค้าออนไลน์ประมาณ 800,000 รายทั่วประเทศ ”
นายประสงค์ กล่าวว่าในอนาคตผู้ประกอบการจะไม่สามารถหลบหนีเทคโนโลยีไปได้ เพราะล่าสุด โครงการติดตั้งเครื่องชำระเงินอัตโนมัติ หรืออีดีซี จำนวน 700,000 เครื่องทั่วประเทศนั้น มีผู้ประกอบการรายย่อยเพียง 15% ที่ยอมตั้งเครื่องอีดีซี ส่วนที่เหลือ 85% หรือ 590,000 เครื่อง ที่ไม่ยอมติดตั้งเครื่องอีดีซี เพราะกลัวเสียภาษีให้แก่รัฐบาลนั้น แน่นอนว่า กรมสรรพากรจะเชิญผู้ประกอบการที่ไม่ติดเครื่องอีดีซี มาพบและจะจับตามองเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากโลกอนาคตไม่อาจหลบหนีเรื่องเทคโนโลยีได้.