เปิดตัว เครื่องต้นแบบ แยกซากอิเล็กทรอนิกส์
กพร. เปิดตัวเครื่องต้นแบบ คัดแยกโลหะจากซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นแห่งแรกในประเทศไทย
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิล อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ของ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้ต่อยอดผลงานเทคโนโลยีรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแต่งแร่ ด้วยการออกแบบและพัฒนา เครื่องคัดแยกทางกายภาพหรือทางกล เพื่อบดย่อยและคัดแยกส่วนประกอบต่าง ๆ จากซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในขั้นตอนต่อไป
สำหรับเครื่องคัดแยกนี้นับเป็นเครื่องจักรต้นแบบสมัยใหม่เครื่องแรกในประเทศไทย โดยสามารถแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ในซากแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มโลหะที่ไม่ติดแม่เหล็ก (เช่น ทองแดง ดีบุก ทองคำ เงิน อะลูมิเนียม) กลุ่มโลหะที่ติดแม่เหล็ก (ได้แก่ เหล็ก และนิกเกิล) และส่วนประกอบที่ไม่ใช่โลหะ (เช่น Epoxy Resin, Fiberglass) ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดนี้สามารถนำกลับมาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ได้ใหม่ จากความสำเร็จครั้งนี้ ทำให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลของ กพร. สามารถรองรับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเป็น “ศูนย์การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์” ของประเทศได้
และจากการประเมิน พบว่า การรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศประมาณ 500,000 ตันต่อปี โดยเปลี่ยนเป็นทรัพยากรที่มีค่าเพื่อเป็นวัตถุดิบทดแทนให้แก่ภาคอุตสาหกรรมไทย จะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในประเทศกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี หากสามารถจัดการขยะหรือของเสียอื่น ๆ ทั้งจากภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศกว่า 50 ล้านตันต่อปี ได้อย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่ได้จากการหมุนเวียนขยะหรือของเสียกลับมาเป็นวัตถุดิบทดแทนได้กว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี
ด้านนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดี กพร.กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่สนใจ เฉลี่ยปีละกว่า 300 ราย สามารถยกระดับผู้ประกอบการ (Level up) และสร้างธุรกิจใหม่ (Startup) ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศจากการลงทุนหรือการใช้ประโยชน์จากของเสียที่ได้รับการผลักดันงานวิจัยและพัฒนาโดยศูนย์แห่งนี้ 150-200 ล้านบาทต่อปี ไม่นับรวมมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนขยะหรือของเสียเป็นแหล่งทรัพยากรทดแทนที่สำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นการลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่สังคมไร้ขยะ (Zero Waste Society) และมุ่งสู่ Circular Economy ตามนโยบายรัฐบาล