ครม.ไฟเขียวงบโครงการปิดทองหลังพระฯ
“บิ๊กตู่” ไม่ทอดทิ้งโครงการดีๆ ในการพัฒนาประเทศไทย ล่าสุด ครม.ไฟเขียวงบประมาณ 572 ล้านบาท ให้แก่ มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ ระยะที่ 3 ระหว่างปี 2564-2565 เพื่อใช้ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2563 อนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565 ตามแผนปฏิบัติการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2564 – 2565) รวมระยะเวลา 2 ปี ภายในกรอบวงเงินงบ ประมาณ 572.58 ล้านบาท ให้แก่มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
ทั้งนี้ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้เสนอร่างแผนปฏิบัติการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระยะที่ 3 โดยมีนโยบายหลัก ประกอบด้วย 1. การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบของสถาบันฯ ทั้งหมด ด้วยการเสริมประสิทธิ ภาพและยกระดับสู่ความยั่งยืน สามารถเชื่อมโยงกับภายนอกได้ และให้ความสำคัญกับการเป็นห้องปฏิบัติการทางสังคม (Social Lab) เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า หารูปแบบการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ที่เหมาะสม รวมทั้งเป็นสถานที่เรียนรู้ระบบการพัฒนาที่จะนำไปสู่การขยายผล และเป็นทิศทางหลักในการพัฒนาประเทศ
2.เน้นการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริโดยใช้รูปแบบ แนวทางกระบวนการองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติจริง และประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริในพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคงของประเทศ ทั้งจังหวัดชายแดนภาคเหนือและจังหวัดชาย แดนภาคใต้ นำไปสู่การขยายผลในพื้นที่อื่นๆ และ3. ส่งเสริมการขยายผลและเผยแพร่รูปแบบการพัฒนาที่เกิดขึ้น เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา เข้ามาเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาตามแนวพระราชดำริที่มีความหลากหลายเหมาะสมกับภูมิสังคม โดยจัดกระบวนการเรียนรู้และการฝึกปฏิบัติ ควบคู่กับการขยายผลรูปแบบการพัฒนาตามแนวพระราชดำริสู่ระบบราชการ อันจะนำไปสู่การเป็นทิศทางหลักในการพัฒนาประเทศระยะต่อไป
โดยแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 3 มีเป้าหมายในการดำเนินการ ดังนี้ 1.พัฒนาพื้นที่ต้นแบบทั้ง 9 จังหวัด ได้แก่น่าน อุดรธานี กาฬสินธุ์ อุทัยธานี เพชรบุรี ขอนแก่น ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ให้พึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และหลักทฤษฎีใหม่ 2.ขยายพื้นที่การปฏิบัติงานเพื่อประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริไปในพื้นที่ความมั่นคงตามแนวชายแดนภาคเหนือและชายแดนภาคใต้ และ 3.สร้างนักพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นวิทยากร/พี่เลี้ยง และผู้ประสานงานการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่า จะได้รับคือ 1. ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2.ได้แนวทางการประยุกต์ใช้แนวพระราชดำริในมิติที่เป็นความสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในมิติความมั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผล กระทบต่อความมั่นคง เช่น การค้าและการแพร่ระบาดของยาเสพติด 3.ได้แนวทางการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระ ราชดำริไปในพื้นที่ที่หลากหลายภูมิสังคม สอดคล้องกับหลักการสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ที่ยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาที่ยั่งยืน และคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา 4.ประโยชน์ที่ประชาชนในพื้น ที่ต้นแบบจะได้รับในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน จะเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนในพื้นที่อื่นเห็นประโยชน์และนำไปปรับใช้มากขึ้น ตามพันธกิจขององค์กรกล่าวคือ 80% ของครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการในหมู่บ้านต้นแบบ ที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่ มีรายได้สูงกว่าการพัฒนาในระยะที่ผ่านมา (ปี 2563) ชุมชนมีผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าให้พื้นที่ต้นแบบ 5 ผลิตภัณฑ์ ภายในระยะ 2 ปี (พ.ศ. 2564 – 2565) เกิดความสามัคคีในชุมชน มีการทำงานร่วมกัน แบ่งปันทรัพยากร โดยมีการรวมกลุ่มอาชีพและกองทุน ที่บริหารจัดการโดยชุมชน ได้รับมาตรฐานตามหลักเกณฑ์จากหน่วยงาน เช่น กลุ่มเกษตร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ และมีการดำเนินกิจกรรมต่อเนื่อง และพื้นที่ป่าไม้ เช่น ป่าเศรษฐกิจ ป่าใช้สอย ป่าชุมชนฯ ในโครงกร ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ได้รับการดูแลรักษา และอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ มีสัดส่วน 55% ของพื้นที่โครงการ
ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์การบูรณาการการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระยะที่ 1 – 2 เริ่มปี 2554 – 2562 และแผนปฏิบัติการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระยะที่ 3 เริ่มในปี 2564 – 2565 โดยมีเป้าหมาย ตัวชี้วัด แผนงาน และโครงการ รวมปีละ 10 แผนงาน จำนวน 40 โครงการ โดยได้รับงบประ มาณสนับสนุนจากรัฐบาล 572.58 ล้านบาท.