สรุปข่าว 23-8-63
น้ำมันยังขาลง : แนวโน้มราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ยังคงอยู่ในทิศทางปรับตัวลดลง หลังมีรายงานข่าวระบุถึงกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัส ยังคงเกินกว่าข้อตกลงที่ให้ไว้ราว 2.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงเดือน พ.ค. – ก.ค. 63 ที่ผ่าน มา โดยเฉพาะอิรักและไนจีเรีย แม้ว่าการประชุมร่วมกันของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร เมื่อวันที่19 ส.ค. 63 ยังคงเป้าหมายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ส.ค. ไปจนถึงสิ้นปี
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ และโอเปกพลัส ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงยืดเยื้อ อาจทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปทานในภูมิภาคมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการส่งออกน้ำมันเบนซินของจีนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่โรงกลั่นใน อินเดียหลายแห่งเพิ่มกำลังการผลิตตามอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว น้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์ในภูมิภาคยังคงอยู่ ในระดับต่ำ จากมาตรการปิดเมืองในการแพร่ระบาดระลอกสอง โดยปิดตลาดในวันทำการล่าสุด พบว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ขยับขึ้น 10 เซนต์ อยู่ที่ 42.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ บวก 18 เซนต์ อยู่ที่ 45.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล.
หุ้นสัปดาห์หน้า : บล.กสิกรไทย คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (24-28 ส.ค.) มองว่า ดัชนีมีแนวรับที่ 1,280 และ 1,270 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,315 และ 1,335 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนก.ค.ของไทย ความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มเติม รวมถึงสุนทรพจน์ของประธานเฟด และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 2/63 ยอดขายบ้านใหม่และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ กำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ค. ของจีน
มองค่าเงินบาท : ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์ค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า ( (24-28 ส.ค.) ที่ 31.20-31.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญ ได้แก่ สุนทรพจน์ของประธานเฟดในการประชุมประจำปีของเฟดที่แจ็กสัน โฮล (27-28 ส.ค.) สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก
ทองไทยขึ้น : ราคาทองคําในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนราคาทองคำในประเทศเมื่อวันที่ 22 ส.ค. สมาคมค้าทองคำได้ประกาศราคาครั้งเดียว เมื่อเวลา 09.21 น. ปรับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันก่อน โดยราคาทองคำแท่ง ขายออกบาทละ 28,950 บาท รับซื้อ 28,850 บาท ส่วนทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,450 บาท รับซื้อ 28,334.04 บาท.
ห่วงม็อบเด็ก : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชุม คกก.ปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล ร่วมกับ ปลัด กห. ผบ.สส. ผบ.เหล่าทัพ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. โดยที่ประชุมฯหยิบยกสถานการณ์การชุมนุมและกิจกรรมของนร.มัธยมในการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ต่อต้านระบบอำนาจนิยม ซึ่งนายกฯแสดงความเป็นห่วงเรื่องความรู้สึกที่ผูกพันของคนในครอบครัวที่เป็นรากฐานของสังคมไทย ชี้การปลุกระดมด้วยการสร้างความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง อยากให้เหล่าทัพไปดูเรื่องแนวทางการสร้างเด็กยุคใหม่ โดยมองภาพในระยะยาว ส่วนการจัดชุมนุมใหญ่ที่ 19 ก.ย.ที่ มธ.ท่าพระจันทร์ จะไม่ห้าม แค่เฝ้าระวังอย่าให้มีการทำผิด กม. จนเหมือนฮ่องกงโมเดล.
ทหารออกจากการเมือง : นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปธ.คณะก้าวหน้า ระบุในวงสัมมนาของ กมธ. สวัสดิการสังคม ณ โตโยต้า ยูเนียน เซ็นเตอร์ จ.ฉะเชิงเทราการ ว่า การจะทำให้สวัสดิการประชาชนดีขึ้นกว่านี้และเกิดขึ้นได้จริงนั้น สามารถทำได้ แต่ผู้มีอำนาจจะทำหรือไม่ โดยต้องทำอย่างน้อย 4 เรื่อง คือ ปฏิรูปส่วนราชการ, เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงิน, ลดการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม และยุติการเอื้อกลุ่มทุน ทั้งนี้ บันไดขั้นแรกที่จะไปสู่รัฐสวัสดิการได้ จะต้องเอาทหารออกจากการเมือง แล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้ ทำให้การเมืองเป็นปกติ.
รุนแรงรอบร้อยปี : กมธ.การเงินการคลังฯจัดสัมมนาที่คณะเศรษฐศาสตร์ มช. โดยมี ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานฯ ระบุวิกฤตของประเทศครั้งนี้รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี ยากต่อการประเมินได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด รัฐควรผ่อนคลายมาตรการปล่อยสินเชื่อของธุรกิจ Micro Finance และ Nano Finance โดยให้นำโฉนดที่ดิน ที่ดิน สปก. มาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกู้เงินได้ การใช้นโยบายการคลังยังเป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่ตอบโจทย์ รวมถึงพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ ก็กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ตรงเป้า.
ตามคาด : นายไพบูลย์ นิติตะวัน ในฐานะรอง ปธ.กมธ. วิสามัญฯแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ระบุความคืบหน้าการจัดทำรายงานศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า อยู่ในขั้นตอนการจัดทำรายงาน โดยจะนัดประชุม กมธ. 27-28 ส.ค. เพื่อรับรองรายงานผลการศึกษา ก่อนเสนอให้ ปธ.สภาฯบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมฯ คาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ 9-10 ก.ย. เลื่อนจากกำหนดเดิมที่จะนัดประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 1 ก.ย. ส่วนตัวเห็นว่าการประชุมร่วมรัฐสภายังมีกฎหมายที่ต้องพิจารณาก่อนหน้าญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก 3 ฉบับ จึงคิดว่าไม่น่าทันได้พิจารณาในวันดังกล่าว.
อ้างพร่ำเพรื่อ : นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟสซบุ๊ก ระบุ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี ไม่ควรยั่วยุ ส่วนตัวเห็นแล้วไม่สบายใจ เพราะนอกจากมีการอ้างประชาชนแบบพร่ำเพรื่อแล้ว ยังดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มายุ่งเกี่ยวด้วย ทั้ง 2 ขั้วขัดแย้ง ต่างก็กระทำในสิ่งที่ไม่บังควร ฝ่ายหนึ่งพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ ขณะที่อีกฝ่าย หน้ามืดตามัวไม่แยกแยะประเด็นเหมารวมทุกอย่าง โดยใช้สถาบันมาเป็นที่แอบอิง จนแทบดูไม่ออกแล้วว่า ใช้อำนาจเพื่อรักษาสถาบัน หรือกำลังอ้างสถาบันมารักษาอำนาจตัวเอง.
ปลุก ขรก. : นายนคร มาฉิม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ถึงบรรดาข้าราชการทั้งหลายให้หยุดรับใช้เผด็จการทรราช แล้วหันมารับใช้ประชาชน ย้ำว่า ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน มีที่รับราชการ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ 3 ล้านคนที่เหลือทำงานในทุกภาคส่วนและมีหน้าที่เสียภาษีเพื่อเลี้ยงดูข้าราชการและพัฒนาประเทศ จึงอยากให้บรรดาเหล่าข้าราชการพิจารณาว่าจะยังคงรับใช้เผด็จการทรราชต่อไป แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของเผด็จการทรราช หรือจะหันกลับมารับใช้ประชาชนผู้เสียภาษีเลี้ยงดูท่าน ท่านก็จะได้รับการยกย่องชื่นชม และถือเป็นวีรกรรมของทุกท่าน ที่อนุชนรุ่นหลังจะจดจำท่านไว้ในฐานะวีรชน.
ไปกันใหญ่ : นึกว่าจะจบบทบาท “ท้าชก” ดึงความสนใจสังคมไทย จนสภาฯปล่อยผ่านงบจัดซื้อเรือดำน้ำจีน 2 ลำ ล่าสุด “เดอะเต้” นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหน.พรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า “ฝากท่านชวน แก้ ระเบียบสภาให้ ส.ส.-ส.ว.สามารถต่อยกันได้ การต่อยเป็นการออกกำลังกาย สามารถลดงบประมาณ สปสช.ได้ เป็นการดูแลสุขภาพ สมาชิกรัฐสภา ในภาวะที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีเข้ารัฐได้ปี 63 ลดลงไป 2.14 ส.ลบ #ต่อยเพื่อสุขภาพ#”.