สรุปข่าว 22-8-63
หุ้นไทยขึ้นตามโลก : ตลาดหุ้นสำคัญ 21 ส.ค. (ตรงกับเช้า 22 ส.ค.ในไทย) ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 190.60 จุด (+0.69%) ปิดที่ 27,930.33 จุด, เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 11.65 จุด (0.34%) ปิดที่ 3,3972.16 จุด ขณะที่ แนสแดค เพิ่มขึ้น 46.85 จุด (0.42%) ปิดที่ 11,311.80 จุด และ นิเคอิ เพิ่มขึ้น 39.68 จุด (+0.17%) ปิดที่ 22,920.30 จุด ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดที่ 1,299.26 จุด เพิ่มขึ้น +2.47 จุด หรือ +0.19 % มูลค่าการซื้อขาย 42,295 ล้านบาท.
น้ำมันโลกหดตัว : ราคาน้ำมันโลกวานนี้ (21 ส.ค.) ปิดตลาดเมื่อเวลา 04.00 น.ของวันที่ 22 ส.ค.ตามเวลาประเทศไทย โดยเฉพาะ สัญญาซื้อข่ายล่วงหน้า น้ำมันดิบเวสต์เทกซัส ปรับลดลงมาอยู่ที่ 42.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง -0.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (-1. 21%) ขณะที่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ เดือน ต.ค. ปรับลดลงเช่นกัน โดยราคาปิดอยู่ที่ 44.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง -0.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (-1.034%)
ทองคำโลกขาลง : ราคาทองคำ Spot ดอลลาร์สหรัฐ ปิดตลาดเมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 22 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย ลดลง 6.39 ดอลลาร์ -0.33%) ปิดที่ 1,940.71ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในไทย วานนี้ (21ส.ค.) ผันผวนตลอดวัน เปลี่ยนแปลงถึง 8 ครั้ง สมาคมค้าทองคำประกาศราคาสุดท้าย เมื่อเวลา 17.12 น. เพิ่มขึ้นจากราคาครั้งก่อน (ครั้งที่ 7) 50 บาท และสูงกว่าราคาปิดครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 ก.ค. (28,650.00) ถึง 150 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,800 บาท ขาย 28,900 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อ 28,288.56 บาท ขาย 29,400 บาท
บาทอ่อนเล็กๆ : ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารพาณิชย์ วานนี้ (21ส.ค.) 31.460 บาท บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวันที่ 20 ส.ค. (31.387 บาท) ขณะที่แบงก์พาณิชย์ กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ใช้ซื้อขายกับลูกค้าไว้ที่ 31.6102 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ, 42.0318 บาทต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ริง, 37.6843 บาทต่อ 1 ยูโรดอลลาร์, 30.1543 บาท ต่อ 100 เยน, 4.0994 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ฮ่องกง, 23.2984 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ และ 7.6369 บาท ต่อ 1 ริงกิตมาเลเซีย.
รัฐประหารเท็จ : พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ปฏิเสธข่าวลือ “รัฐประหาร” ย้ำว่า “เป็นข่าวเท็จ” โดยเฉพาะสถานการณ์ของประเทศปัจจุบัน ที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน มีความพยายามสร้างข่าวเท็จ ปลุกให้เกิดความหวาดระแวงกันในสังคมมากขึ้น ทั้งนี้ จึงจำเป็นที่ประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย ควรใช้ดุลยพินิจรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องอย่างรอบด้าน โดยขอให้หนักแน่น เชื่อมั่นกันและกัน พร้อมรวมใจไทยสร้างชาติ แก้ปัญหาดังกล่าวไปด้วยกัน.
คิวนายกฯ : นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า ก่อนการเดินทางร่วมประชุมครม.สัญจร “ระยอง-จันทบุรี” 24-25 ส.ค.นี้ นายกฯจะประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนส์ ตามกรอบความร่วมมือแม่โขงล้านช้างครั้งที่ 3 ต่อยอดและสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ผลักดันกฎบัตรอาเซียน พร้อมจัดตั้งโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขงล้านช้าง ขนาดไม่เกิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเส้นทางเศรษฐกิจในกลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งทางบกและทางทะเล ยกระดับการแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงความร่วมมือด้านสาธารณสุขเพื่อสาธารณะประโยชน์.
นศ.นั่ง ส.ส.ร. : นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ย้ำหลักการสำคัญที่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพราะพรรคฯประกาศไม่รับรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่เมื่อครั้งทำประชามติ และต้องแก้ไขมาตรา 256 โดยในเรื่องสัดส่วนของจำนวนสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญที่สามารถแก้ไขได้ง่ายขึ้น และได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 256 และในหมวดการตั้ง ส.ส.ร. เสร็จแล้ว และได้ยกร่างโดยเปิดทางให้เยาวชน นิสิต นักศึกษา สามารถเป็น ส.ส.ร. ด้วย เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2.
โต้ถาวร : นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม ที่ระบุการบินไทยขาดทุน 6.2 หมื่นล้านบาท เพราะรัฐบาลทักษิณ ว่า การพูดในฐานะรัฐมนตรี ต้องนำข้อมูลที่ถูกต้องมาสื่อสารกับประชาชน เพราะการบินไทยในสมัยรัฐบาลทักษิณ ทำกำไร 5 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 45 – 49 รวมกันกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ส่วนการจัดซื้อเครื่องบิน A340 500 และเครื่องบิน A340 600 มาบินนั้น ปัจจุบันประเทศอื่นยังใช้บินกันอยู่ทั่วโลก หากไม่ดีจริงทำไมไม่ขายออกไป แบกภาระเอาไว้เพื่ออะไร.
ใครเริ่มก่อน : นายชวน หลีกภัย ปธ.สภาผู้แทนราษฎร ชี้คู่ขัดแย้ง “สิระ เจนจาคะ – มงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์” ทำให้ภาพพจน์ของ ส.ส.ได้รับผลกระทบ แต่อย่าเหมาว่าทุกคนในสภาฯจะมีสภาพแบบนี้ ซึ่งนายสิระยืนยันว่าจะนำเรื่องนี้ส่งกรรมการจริยธรรม การขัดแย้งเรื่องวาจาไม่เป็นไรค่อยว่ากัน แต่เรื่องความรุนแรงอย่าให้เกิดขึ้น และทั้งคู่ไม่ยอมมาคุยกัน ทั้งนี้ ให้นำเอาคำพูดของแต่ละฝ่ายมารวบรวม เรียบเรียงว่าเริ่มต้นอย่างไร ใครเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน และเรื่องตามมาอย่างไร ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาให้ฟันร่วงหมดเลย เขายืนยันว่าจะไม่ทำ.
สอนรัฐใช้เงิน : นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ระบุการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตมีเพียงภาครัฐที่ทำได้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ใกล้ระดับ 60% ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ถ้าการใช้เงินกู้ในโครงการที่ดี มีประสิทธิผลกระตุ้นการจ้างงาน การทำโครงสร้างพื้นฐานสอดคล้องวิถีชีวิตใหม่ (นิวนอร์มอล) แต่การเพิ่มบทบาทการใช้จ่ายภาครัฐ ต้องคิดถึงความสามารถในการหารายได้ในอนาคต และต้องลดบทบาทภาคการคลังในระยะยาว ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ควรทำมาตรการชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ปกติก็ต้องมีกลไกลดลงทันที.
ซื้อเรือดำนำ : นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงในฐานะโฆษก กมธ.งบปี 64 ว่า ที่ประชุมวันที่ 21 ส.ค. พิจารณางบจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนของกองทัพเรือ 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท หลังจากคณะอนุกมธ.แขวนเรื่องไว้ในครั้งแรก เพราะยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้ซื้อหรือไม่ ทั้งนี้ จากการลงมติฯ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลมีเสียงเท่ากันที่ 4 : 4 ดังนั้น ให้ นายสุพล ฟองงาม พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุ กมธ.ฯ จึงออกเสียง เป็นผลให้ไทยต้องซื้อเรือดำน้ำจีน ทั้งที่เศรษฐกิจยังมีปัญหา และประชาชนอดยากจากพิษโควิด-19.