“เอพี”รุกครึ่งปีหลังเปิด 13 โครงการ 1.5 หมื่นล.
“เอพี ไทยแลนด์”เร่งเพิ่มแชร์ตลาดแนวราบ ดันแบรนด์”บ้านกลางเมือง และ พลีโน่”หัวหอกสร้างพอร์ตแนวราบ เปิดครึ่งปีหลังอีก 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,350 ล้านบาท เผย7เดือนสร้างผลงานยอดขายรวม 18,175 ล้านบาท
นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์)() เปิดเผยถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบว่า เป็นกลุ่มของเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ความต้องการในด้านพื้นที่การอยู่อาศัยมีความสำคัญมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่า กลุ่มสินค้าแนวราบประเภททาวน์โฮมของบริษัทเติบโตอย่างมั่นคง โดยพบว่า กลุ่มลูกค้าในสินค้าทาวน์โฮมของบริษัท ทุกกลุ่มอายุเติบโต แต่ที่โดดเด่นในการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์สินค้าทาวน์โฮม อายุน้อยลง โดยกว่า 40% เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุ 26-30 ปี จากเดิมสัดส่วนจะอยู่ที่ 31%
ในส่วนของแผนครึ่งปีหลังนั้น บริษัทชูแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” และ “พรีโน่” ขับเคลื่อนในการลงทุนและขยายตลาดแนวราบ ซึ่งจะมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่ารวม 15,350 ล้านบาท เปิดภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง 5 โครงการ มูลค่า 7,855 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99-8 ล้านบาท ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ และเปิดโครงการภายใต้แบรนด์ พลีโน่ 8 โครงการ มูลค่า 7,495 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.99-6.8 ล้านบาท ภายในเดือนตุลาคม
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการ บ้านกลางเมือง The Edition สาทร-สุขสวัสดิ์ เป็นโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น พัฒนาบนพื้นที่กว่า 34 ไร่ จำนวน 274 ยูนิต มูลค่า 1,725 ล้านบาท ขนาดที่ดินเริ่มต้น 18-37 ตร.วา พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 151-222 ตร.ม. ระดับราคาขายเริ่มต้น 4.79-7.99 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะเปิดพรีเซลในวันที่ 12-13 กันยายน นี้
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 18,175 ล้านบาท คิดเป็น 55% จากเป้าหมายยอดรวมในปี 63 ที่ 33,500 ล้านบาท โดย 15,540 ล้านบาท เป็นยอดขายที่เกิดขึ้นจากสินค้าแนวราบ เติบโตขึ้น 11% และหรือคิดเป็น 70% ของเป้าแนวราบทั้งปีที่ 22,500 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่เกิดขึ้นมาจากโครงการที่อยู่ระหว่างการขายกว่า 85 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 46,750 ล้านบาท และมียอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 2,635 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจากแนวราบและกลุ่มคอนโดมิเนียม 19,960 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกรวม 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 9,140 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 36,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิในช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีจำนวน 1,830 ล้านบาท โดยเฉพาะในไตรมาส 2 กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 150% หรือกว่า 1,215 ล้านบาท.