คลังเน้นกระตุ้นบริโภค สู้จีดีพีปีนี้ -8.5%
คลังชี้! ไทยผ่านจุดต่ำสุดทางเศรษฐกิช่วงไตรมาส 2 ไปแล้ว ยอมรับเป็นช่วงที่จีดีพี “ติดลบ 2 หลัก” คาดทั้งปี จีพีพี -8.5% เชื่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากนี้ดีขึ้น มั่นใจปีหน้ากลับมาโต 4-5% หลังโลกค้นพบวัคซีนต้านโควิดฯ ย้ำ! พร้อมติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบที่จะมีตามมา พ่วงออกมาตรการทันที เน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เหตุฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ตรงจุดมากสุด
นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 ว่า แม้จะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว และเศรษฐกิจในเดือน มิ.ย.มีสัญญาณที่ดีขึ้นจาก 2 เดือนก่อนหน้านี้ แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยและประเทศคู่ค้าสำคัญ ทำให้เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักอย่างภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ทั้งปี จะหดตัวที่ -8.5%
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจหลายมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ หดตัว มีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ณ เดือน ก.ค.2563 คือ การบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.3% และ 9.7% ตามลำดับ โดยการบริโภคภาคเอกชน -2.6% การลงทุนภาคเอกชน -12.6% ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการ -27.8% ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการ -19.5% ยังผลให้ไทยเกินดุลการค้ามากถึง 30.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 1.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากดูในรายละเอียดของมูลค่าส่งออกและนำเข้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว พบว่าหดตัว -11.0 และ -14.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี น่าจะ -1.3% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อมาตรฐานปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2%
“กระทรวงการคลังคาดการณ์เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากภาคธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินกิจการ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น ประกอบกับผลของมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิดฯของรัฐบาล ระยะที่ 1-3 และมาตรการ“เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบข้างต้น จะช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชน รักษาระดับการจ้างงาน และสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศ เชื่อว่าจีดีพีในช่วงครึ่งปีหลังจะติดลบลงจากครึ่งปีแรก” โฆษกกระทรวงการคลัง ย้ำ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะมีการเคลื่อนตัวในลักษณะ “เครื่องหมายถูก” และนั่นทำให้เชื่อว่าในปี 2564 จีดีพีไทยจะกลับมาฟื้นตัว 4-5%เนื่องจากมีสัญญาณการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิดฯประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ซึ่งหากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯยุติลง จะทำให้ภาคการบริโภคในประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย กลับมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ กระทั่ง มีความต้องการนำเข้าสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ขณะเดียวกัน มาตรการที่เคยเข้มงวดต่อการเดินทางออกนอกประเทศของนักท่องเที่ยวจะผ่อนคลายลง เป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งคาดการณ์ในปี 2563 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 6.8 ล้านคน น้อยมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ที่ 40 ล้านคน
เมื่อถามว่า ความล่าช้าของการอนุมัติโครงการ/แผนงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท ที่เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ผ่านสภาพัฒน์ จะส่งผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่? นายลวรณ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวเปิดช่องให้เบิกจ่ายงบประมาณได้จนถึง 30 ก.ย.2564 จึงไม่จำเป็นจะต้องเร่งรัดการอนุมัติโครงการและเบิกจ่ายเงิน แต่อยากจะเน้นอนุมัติให้กับโครการที่ตอบโจทย์ในเชิงนโยบายรัฐบาล เช่น สร้างการจ้างในชนบทและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน โดยให้ให้ดูที่ความคุ้มค่าของโครงการเหล่านั้นมากกว่า
สำหรับจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาสที่ 2 นั้น โฆษกกระทรวงการคลัง ย้ำว่า ปกติกระทรวงการคลังจะไม่แถลงการณ์ตัวเลขรายไตรมาส เพราะเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แถลงการณ์ตัวเลขรายไตรมาสอยู่แล้ว อย่างรก็ตาม เขายอมรับว่า ในจุดต่ำสุดของตัวเลขเศรษฐกิจไทย “ติดลบระดับ 2 หลัก” อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์จีดีพีปี 2563 ที่ -8.5% นั้น ถือเป็นการทำลายสถิติที่ -7.6% เมื่อปี 2541 หลังไทยประสบปัญหาวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอย้ำว่า แม้ผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ จะทำให้เศรษฐกิจไทยติดลบมากกว่าช่วง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” แต่ในสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลมีเครื่องมือในการบริหารจัดการได้มากกว่า ซึ่งนั่น จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และในปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้ดีกว่าช่วงปี 2540 เป็นต้นมา
“หัวใจของการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การให้น้ำหนักความสำคัญกับการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และผลกระทบที่จะมีตามมาในทุกมิติ ทั้งนี้ หากเห็นว่าจำเป็นจะต้องออกมาตรการใดๆ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ก็พร้อมจะดำเนินการในทันที และคงไม่เน้นมาตรการใดเป็นสำคัญ แต่จะใช้การผสมผสานทั้งมาตรการการคลัง มาตรการการเงิน รวมถึงมาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ ที่จำเป็น แต่จะพยายามไม่ใช้มาตรการเยียวยา ด้วยการแจกเงินเหมือนเช่น แจกเงิน 5,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งการที่รัฐบาลนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ เพราะเป็นเรื่องจำเป็นเนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดฯนั่นเอง” โฆษกกระทรวงการคลัง ย้ำและว่า
สิ่งนี้ ไม่รวมถึงการแจกเงินผ่านบัตรสวัสดิการ ที่รัฐบาลจะคงมาตรการนี้เอาไว้จนสิ้นสุดปีงบประมาณ 2563 และจะดำเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2564 อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังเคยมีแผนจะเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการใหม่ แต่เพราะติดปัญหาโควิดฯจึงทำให้ต้องชะลอโครงการนี้ออกไปก่อน ทั้งนี้ หากสถานการณ์โควิดฯคลี่คลาย จนไม่สร้างปัญหาใดๆ ขึ้นมาแล้ว กระทรวงการคลังก็พร้อมจะเปิดรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการใหม่ทันที
ด้าน นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน มิ.ย.2563 ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ปรับตัวดีชึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น หลังจากมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งภาคการบริโภคเอกชนและการลงทุนในหมวดการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศที่สะท้อนผ่านการส่งออกสินค้าและบริการ ยังคงชะลอตัว สอดคล้องกับด้านอุปทานที่ชะลอตัวลงในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว.