ทุ่ม3.7พันล้านผุดคอนโดฯ’อารมณ์ วงศ์อมาตย์’

กลุ่มทุนอสังหาฯ ดันบริษัทร่วทุน ลุยโครงการที่พัทยา กับโปรเจกต์ซูเปอร์ลักชัวรีคอนโดฯ “อารมณ์ วงศ์อมาตย์” มูลค่า 3,700 ล้านบาท หวังปั้นเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในพัทยา มั่นใจยอดขายปีนี้โตตามเป้า 50%
นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่และลักชัวรี่ในเมืองพัทยาว่า ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการริมชายหาด เนื่องจากมีซัปพลายค่อนข้างน้อย โดยคอนโดฯบนหาดวงศ์อมาตย์ พัทยา เป็นพื้นที่หายาก ตามข้อมูลย้อนหลังกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ในภาคอสังหา ริมทรัพย์ แทบไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในโซนดังกล่าว ส่วนห้องชุดที่ยังมีการเปิดขายอยู่ ก็เป็นส่วนน้อยที่ยังคงค้างยูนิตในตลาด ประกอบกับความชัดเจนการลงทุนของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นปัจจัยที่ตอกย้ำความมั่นใจในตลาดอสังหาฯ
ล่าสุด บริษัทได้ตัดสินใจพัฒนาโครงการ“อารมณ์ วงศ์อมาตย์” ซูเปอร์ลักชัวรีคอนโดมิเนียมระดับ Limited Rare Item แห่งเดียวในพัทยา พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sense The Masterpiece” คอนโดฯสูง 55 ชั้น บนเนื้อที่ 8 ไร่เศษ จำนวน 319 ยูนิต ราคา 6.2-51 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยประมาณ 200,000 บาทต่อตาราเมตร(ตร.ม.) มูลค่าโครงการเกือบ 3,700 ล้านบาท
ตัวโครงการฯตั้งอยู่บนที่ดินฟรีโฮลด์ผืนใหญ่ผืนสุดท้ายบนโค้งหาดวงศ์อมาตย์ ซึ่งบริษัทนซื้อมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ในราคาเกือบ 5แสนบาทต่อตารางวา ปัจจุบันราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอีก 25-30% และถือเป็น Prime of the Prime Location และไม่มีถนนเลียบชายหาดคั่น จึงปราศจากความวุ่นวายเสมือนเป็นชายหาดส่วนตัว ขณะเดียวกัน ยังสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หรูหราระดับเอ็กซ์คลูซีฟ
ด้านกลยุทธ์การขาย หลังจากเริ่มเปิดสำนักงานขายเดือนที่ผ่านมา มีลูกค้าสนใจเข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากกว่า 200 ราย และมีการตัดสินใจซื้อมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่ เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง สำหรับเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อการพักผ่อน หรือเพื่อเป็นมรดกส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ไม่เน้นเพื่อการปล่อยเช่า เนื่องจากทำเลที่ดินดังกล่าวหายากและมีราคาสูง รวมไปถึงจำนวนยูนิตที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่คุ้มกับการปล่อยเช่า โดยสัดส่วนลูกค้ายังเป็นกลุ่มลูกค้าไทย 51% ต่างชาติ 49%
“ด้วยสถานกาณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากในประเทศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยแบ่งเป็นลูกค้าที่มาจากกรุงทพฯ 90% ที่เหลือเป็นลูกค้าในพื้นที่ สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติคาดการณ์ว่า หากเปิดประเทศความต้องการซื้อจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง คาดว่าจนถึงสิ้นปี 2563 จะทำยอดขายได้ประมาณ 50% ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2/2564 ซึ่งคาดว่าจะผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ภายในปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน นี้ และแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2567”