ORI มั่นใจจบครึ่งปีแรกยอดขายพุ่งหมื่นล้าน
พิษโควิด-19 สร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการต้องลดราคา เร่งระบายสต๊อก เพิ่มเงินสดให้มากที่สุด “ออริจิ้นฯ”มั่นใจจบ 6 เดือน ยอดขายกว่า 10,000 ล้านบาท เดินหน้าครึ่งปีหลัง รุกหนักเปิดโครงการแนวราบ
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การขายสินค้าใหม่ทำได้ยาก ซึ่งเป็นสินค้าที่สร้างเสร็จ ทำให้เกิดสต๊อกรอขาย ผู้ประกอบการจึงทำแคมเปญลดราคาเพื่อระบายสต๊อก สร้างกระแสเงินสดในมือ ขณะที่ธนาคารก็อยากปล่อยสินเชื่อ
“ปัจจุบัน ผู้บริโภคจะได้รับข้อเสนอที่ดี เห็นห้องจริง ลูกค้าสามารถดูได้เลยว่า เป็นอย่างไร ห้องอยู่ตรงไหน ราคาไม่ต้องรอช่วงเปิดชขายล่วงหน้า เพราะราคาถูกย้อนหลังไปเมื่อ 3-5 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีโปรโมชันอื่นๆ เพิ่มเติม ทำให้ช่วงนี้ กลายเป็นยุคทองของผู้ซื้อจริงๆ ต่างกับช่วงพรีเซลส์ ที่ผู้บริโภคต้องใช้จินตนาการเยอะ บางรายไม่ได้สนใจว่าห้องจะมุมไม่ดี หรือมีตำหนิ สนใจราคาที่รับได้ บางรายซื้อไปปล่อยเช่า ไม่ได้เน้นมาอยู่อาศัย ขอให้ได้ราคาถูก เพราะราคาปล่อยเช่าเท่ากัน ที่ผ่านมาจะเห็นกลุ่มนักลงทุนซื้อแบบ 5-10 ห้อง เพื่อปล่อยเช่า ซึ่งผู้ประกอบการได้ประโยชน์ที่สามารถระบายสต๊อก ปิดโครงการได้ ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเห็นว่า มีผู้ประกอบการต้องการเคลียร์ออก โดยลดราคาลง10-50%”
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทออริจิ้นฯนั้น ในช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.)สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 18% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 และคาดว่าจบ 6 เดือน (ม.ค.- มิ.ย.) จะมียอดขายกว่า 10,000 ล้านบาท ภาพไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาสก่อนหน้า เกินกว่าเป้าหมายครึ่งปี และคาดว่า จะมียอดขายทั้งปี สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 21,000 ล้านบาท รวถมึงยังสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 20% แม้ว่าจะลดราคาขายก็ตาม
ดังนั้น บริษัทฯยังเดินหน้าแผนพัฒนาโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2563 จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท จากแผนทั้งปีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,900 ล้านบาท
“การเปิดโครงการแนวราบ เป็นตัวเลขการเปิดมากกว่าคอนโดฯ นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ โดยปรับแผนลงทุนดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2562 ที่ตลาดคอนโดฯ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ เช่น การบังคับใช้มาตรการ LTV กลุ่มลูกค้าชาวจีนได้รับผลกระทบ สินค้าคงค้างในตลาดมีจำนวนมาก ทำให้บริษัทต้องมาเน้นโครงการแนวราบเพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงขยายพอร์ตลงทุนในทุกเซกเมนต์ พัฒนาทุกระดับราคา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย หลังจากที่มีคอนโดฯ ในทุกเซกเมนต์แล้ว โดยหลังจากนี้จะเห็นโครงการบ้านแนวราบของบริษัทฯระดับราคา 7 ล้านบาท ไปจนถึง 30 ล้านบาท”.