พิษโควิดฉุดยอดโอนอสังหาฯอีอีซีชะลอตัว

ศูนย์ข้อมูลฯประเมินปี 63 ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯในโซนอีอีซีชะลอตัว คาดต่ำสุดในรอบ 5 ปี เผยหน่วยเหลือขายปี 62 กว่า 68,093 หน่วย ด้านนายกสมาคมชลบุรี แนะดึงเงินซอฟท์โลน ผลักดันโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ต่อ
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ธอส.) กล่าวถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย 3 จังหวัดพื้นที่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา พบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวน 78,780 หน่วย ซึ่งคิดเป็น 22% ของจำนวนที่อยู่อาศัยใน 26 จังหวัดหลัก ซึ่งมีจำนวนรวม 355,145 หน่วย มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งมีจำนวน 209,868 หน่วย เมื่อรวม 3 จังหวัด จะพบว่า มีหน่วยเหลือขายสิ้นปี 62 ทั้งสิ้น 68,093 หน่วย
โดยจังหวัดชลบุรีมีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายมากที่สุดในกลุ่มจังหวัดอีอีซี จำนวนทั้งสิ้น 675 โครงการ จำนวน 50,655 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 176,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก 1.8% แต่ในครึ่งปีหลังมีโครงการเปิดขายใหม่เพียง 6,593 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 6,270 หน่วย ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 27.5% ส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมีอัตราเพิ่มขึ้น 8 %
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลฯได้ประมาณการว่าในปี 2563 จะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ในตลาดจังหวัดชลบุรี จำนวน 44,060 หน่วย ขณะที่การเปิดโครงการใหม่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ คาดว่าจะเปิดตัวประมาณ 3,038 หน่วย ซึ่งเมื่ออัตราดูดซับที่ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 2.1% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี2562 ทำให้คาวว่า ในปี 2563 อัตราดูดซับในสินค้าที่อยู่อาศัยทุกประเภทจะเหลือ 1.1-1.3% คาดการโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงมาอยู่ที่ 30,141 หน่วย มูลค่าการโอน 59,293 ล้านบาท ลดลง -20.0%
สำหรับภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดระยอง ในครึ่งหลังปี 2562 มีหน่วยเหลือขายจำนวน 18,048 หน่วย มูลค่า 45,221 ล้านบาท ในส่วนโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดฉะเชิงเทรา มีโครงการขายได้ใหม่จำนวน 831 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 5,660 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 16,500 ล้านบาท
นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี กล่าวเสนอว่า รัฐบาลน่าจะมีมาตรการออกมากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะวงเงิน 1.99 ล้านล้านบาท ที่จะเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น น่าจะมีบางส่วนเช่น ประมาณ 5 แสนล้านบาท มาสนับสนุนหรือการทำโครงการ บ้านดีมีดาวน์ต่อ อาจจะขยายวงเงิน จากเดิมที่เคยให้ไว้ 50,000 บาท เพิ่มเป็น 1-2 แสนบาท เจาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยของตนเอง และยังทำให้ภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น ภาคการก่อสร้าง อุตสาหกรรมแรงงาน มีงานทำ.