ครม.ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 ด. – แต่ผ่อนปรนด้านเศรษฐกิจมากขึ้น
ครม. ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปถึง 31 พ.ค.นี้ เผยยังคงห้ามบินเข้าไทย ห้ามออกนอกบ้านเวลาเดิม งดเดินทางข้ามจังหวัด และห้ามร่วมกิจกรรมในพื้นที่เสี่ยง พร้อมผ่อนคลายกฎเหล็ก ใช้เกณฑ์เศรษฐกิจและสังคม ร่วมหลักการสาธารณสุข หวังผ่อนคลายด้านการค้า ย้ำ! เร่งตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยง “แรงงานบริการ-ต่างด้าว” ประสาน ก.ต่างประเทศ พาคนไทยกลับบ้าน
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมฯมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 – 31 พ.ค.2563 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด -19 หลังจากมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯก่อนหน้านี้ พบว่า การทำงานของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกิดผลสัมฤทธิ์ที่น่าพอใจ อีกทั้งมีการบริหารจัดการเป็นเอกภาพ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายวันของประเทศไทยมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการสำรวจความเห็นจากประชาชน พบว่าส่วนใหญ่เห็นด้วยและพึงพอใจต่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล และเห็นด้วยที่รัฐบาลจะพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป โดยหลังจากนี้ จะมีมาตรการและข้อกำหนดตามมาคือ
1.การจำกัดการเข้าราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ (สำหรับทางอากาศ ให้ขยายระยะเวลาการห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวออกไปอีก1 เดือน เริ่ม 1– 31 พ.ค.
2.ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน (Curfew) ระหว่างเวลา 22.00 – 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น
3.งดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัดโดยไม่จำเป็น
4. ห้ามประชาชนเข้าไปในพื้นที่ หรือสถานที่ซึ่งมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันและเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคติดเชื้อโควิด – 19 เป็นการชั่วคราว
โฆษกรัฐบาล กล่าวอีกว่า ในส่วนการปฏิบัติในห้วงต่อไปภายหลังการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯนั้น ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการให้ ศบค. เป็นกลไกหลักในการกำหนดกรอบแนวทางการบังคับใช้อำนาจตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และให้ศูนย์ปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โรคโควิด – 19 ในด้านต่างๆ กำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติงานตามประเภทของภารกิจและความรับผิดชอบของตนในพื้นที่
พร้อมกันนี้ ยังให้กระทรวงการต่างประเทศ เร่งรัดตรวจสอบและรวบรวมจำนวนคนไทยในต่างประเทศที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทย ให้ได้จำนวนที่ชัดเจนและประสานงานกับสำนักงานประสานงานกลางของ ศบค. เตรียมการรองรับกลุ่มบุคคลดังกล่าวเดินทางกลับประเทศเพื่อเข้าสู่มาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนด
สำหรับการปฏิบัติงานในห้วงต่อไป เพื่อเป็นการผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้กฎหมายบางอย่างให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติขึ้น และเพื่อเป็นการลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านความมั่นคงภายใต้ความปลอดภัยของประชาชน สำนักงานประสานงานกลางจะได้ร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ศบค. ภาคธุรกิจและทุกภาคส่วนร่วมกันกำหนดมาตรการผ่อนคลาย ตามแนวทางดังนี้
1.การผ่อนคลายมาตรการในการบังคับใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะต้องดำเนินการโดยคำนึงถึงปัจจัยทางด้านการสาธารณสุขเป็นหลัก และนำปัจจัยด้านอื่นๆ มาใช้ประกอบการพิจารณา อาทิ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านสังคม
2.การดำเนินมาตรการผ่อนคลายให้พิจารณาจากประเภทของกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในลำดับแรก และมีการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนดควบคู่กันไปด้วยอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ จะต้องจัดเจ้าหน้าที่ และ/หรือ ใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนดอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ภายหลังการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามวงรอบ หากพบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มที่ภาครัฐสามารถควบคุมได้ดีขึ้น จะพิจารณากำหนดมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม แต่หากพบว่ามีการฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนด หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นให้ยกเลิกมาตรการผ่อนคลายในทันที
และ 3.ในห้วงที่มีการดำเนินมาตรการผ่อนคลาย จะต้องเร่งรัดการตรวจเชื้อโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง อาทิ กลุ่มสาขาอาชีพบริการ กลุ่มแรงงานต่างด้าว และมีการใช้เทคโนโลยีติดตามเพื่อตรวจตรากิจกรรมควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมและป้องกันมิให้เชื้อโรคโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดได้อีก.