แจงยอดธุรกิจพิกโก้ฯยังพุ่ง แม้ขอปิดกว่า 700 ราย
สศค.แจง ยอดผู้ประกอบการพิโกไฟแนนซ์และพิโกพลัส ณ สิ้น ก.พ.63 ทั่วไทยพุ่ง 1,302 ราย แม้มีแจ้งขอปิดแล้ว 702 ราย เผยถึงสิ้น ม.ค.63 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 212,155บัญชี วงเงิน 5,699.07 ล้านบาท ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวม 99,555 บัญชี วงเงิน 2,602.55 ล้านบาท ด้านเอ็นพีแอลสะสม 11,522 บัญชี วงเงิน 325.38 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในเดือน ก.พ.2563 ยังคงมีจำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) โดยมีผู้ยื่นคำขออนุญาตสะสมสุทธิ 1,168 ราย เพิ่มขึ้น 12 รายจากเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ (ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)) สะสมสุทธิ 1,017 ราย
และผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัส (ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000บาทแรก และสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective Rate)) สะสมสุทธิ 151 ราย
อย่างไรก็ดี ในเดือน ก.พ. มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เปิดดำเนินการเพิ่มขึ้นอีก 2 จังหวัดในภาคใต้ ได้แก่ ระนอง และชุมพร เพื่อเป็นทางเลือกการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ โดยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือน ก.พ. สรุปได้ ดังนี้
สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2559 จนถึง ณ สิ้นเดือน ก.พ.2563 มีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อ ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัส รวม 1,302 ราย ใน 76 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (112 ราย) กรุงเทพมหานคร (101 ราย) และขอนแก่น (66 ราย) ตามลำดับ
โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีจำนวนนิติบุคคลที่แจ้งคืนคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์รวมทั้งสิ้น 134 ราย ใน 52 จังหวัด จึงคงเหลือจำนวนนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิ 1,168 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งมีจำนวนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิ 816 ราย ใน 72 จังหวัด (ขอคืนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ราย และขอเปลี่ยนใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เป็นประเภทพิโกพลัส 21 ราย)
ทั้งนี้ มีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท ได้แจ้งเปิดดำเนินการแล้ว 702 ราย ใน 71 จังหวัด และมีรายละเอียด ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 1,017 ราย ใน 75 จังหวัด มีผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สุทธิ 777 ราย ใน 72จังหวัด และมีผู้เปิดดำเนินการแล้ว 671 ราย ใน 70 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 2 จังหวัด คือ ระนอง และชุมพร)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 151 ราย ใน 54 จังหวัด ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิม และเปิดดำเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบคำขออนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัส 83 ราย ใน 38 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตใหม่ 68 ราย ใน 29 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสแล้ว 39 ราย ใน 20 จังหวัด และมีผู้เปิดดำเนินการแล้ว 31 ราย ใน 17 จังหวัด
(3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
(3.1) ณ สิ้นเดือน ม.ค.2563 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 212,155 บัญชี รวมเป็นเงิน 5,699.07 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,862.77 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 105,941 บัญชี เป็นเงิน 3,092.69 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 106,214 บัญชี เป็นเงิน 2,606.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม
(3.2) ณ สิ้นเดือน ม.ค.2563 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวม 99,555 บัญชี คิดเป็นเงิน 2,602.55 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 – 3 เดือน สะสมรวมจำนวน 11,725 บัญชี หรือคิดเป็นเงิน 326.30 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.54 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 11,522 บัญชี หรือคิดเป็นเงิน 325.38 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.5 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
สำหรับสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน นับตั้งแต่เดือน มี.ค.2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีการอนุมัติสินเชื่อสะสมรวม 624,370 ราย เป็นจำนวนเงิน 27,366.06 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 578,584 ราย เป็นจำนวนเงิน 25,390.92 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ 45,786 ราย เป็นเงิน 1,975.14 ล้านบาท
การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดสะสมนับตั้งแต่เดือน ต.ค.2559 จนถึงสิ้นเดือน ก.พ.2563 รวม 5,364 คน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th
ทั้งนี้ สามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599, ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155, ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567, ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 และศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร 0 2575 3344.