“TISCO ESU” ปรับจีดีพีเหลือ 0.8%
หลัง COVID รุนแรงกว่าคาด กระทบท่องเที่ยว – อุปสงค์
10 มี.ค. 63 – ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ คาด GDP ไทยปี 2563 โตเพียง 0.8% ต่ำสุดในรอบ 9 ปี และยังมีความเสี่ยงว่าทั้งปีนี้จะติดลบ หากสถานการณ์ COVID-19 ภัยแล้ง และราคาน้ำมันร่วงแรงและยืดเยื้อเกินกว่าคาด ชี้เริ่มเห็นต้นทุนซื้อประกันความเสี่ยงสูงขึ้นราวเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ประเมินกนง. หั่นดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งเร็วสุดในรอบการประชุมถัดไปวันที่ 25 มี.ค.นี้
นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr.Thammarat Kittisiripat, Head of Economic Unit, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับ 26,000 ราย ซึ่งในช่วง 1 – 8 มีนาคม 2563 จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเฉลี่ย 2,400 คนต่อวัน เทียบกับระดับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 200 คนต่อวัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ล่าสุดรัฐบาลอิตาลีสั่งปิดเมืองทั้งประเทศ ให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านและห้ามรวมตัวกันในที่สาธารณะ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในจีนสูงเกินกว่าระดับ 8 หมื่นราย แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากระดับการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 2,300 คนต่อวัน ในเดือนกุมภาพันธ์ เหลือการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 100 คนต่อวัน ในวันที่ 1-8 มีนาคม
TISCO ESU จึงมองว่าพัฒนาการของสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบันรุนแรงกว่าที่เราประเมินไว้เดิม ทั้งจากการแพร่ระบาดนอกประเทศจีน และตัวเลขเบื้องต้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่าน 5 สนามบิน ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่ และภูเก็ต ในเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคมที่หดตัวลงแรงกว่าที่ประเมินไว้ โดยในเดือนกุมภาพันธ์หดตัว 46% เมื่อเทียบกับปีก่อน และในระหว่างวันที่ 1-6 มีนาคม 2563 หดตัวถึง 58% ดังนั้น จึงได้ปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากเดิมคาดว่าจะลดลงเพียง 2.2 ล้านรายหรือลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นปรับลดลง 7.3 ล้านรายหรือลดลง 18% ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.5 ล้านคนเท่านั้น
โดย TISCO ESU มองว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยที่แย่ลง จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้มากที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งพื้นที่หลักของนักท่องเที่ยว โดยกว่า 80% ของเม็ดเงินการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเกือบ 60% ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยกระจุกตัวใน 2 ภูมิภาคดังกล่าว
จากรายได้ของภาคการท่องเที่ยวที่แย่ลงอย่างมีนัยยะ ประกอบกับห่วงโซ่การผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการที่จีนปิดเมือง (Supply Disruption) รวมทั้งอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่อ่อนแอลง ทำให้ TISCO ESU ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2563 ลงมาอยู่ที่ 0.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 1.7% ซึ่งเป็นระดับการเติบโตของ GDP ที่ต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ก่อนที่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งหลังของปี
นอกจากนี้ ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยยะ TISCO ESU คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 0.25% ไม่เกินช่วงไตรมาส 2 นี้ เร็วที่สุดคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 25 มีนาคม 2563 หลังจากได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปแล้ว 0.25% ในการประชุมวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี TISCO ESU มองว่ามีโอกาสที่ GDP ทั้งปีอาจจะติดลบได้ในปีนี้ จากความเสี่ยงสำคัญหลายประการ ได้แก่ 1) ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีอยู่สูง อาจรุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่เราคาดไว้ในกรณีฐาน 2) ความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจแย่กว่าคาด ซึ่งก่อนหน้านี้ประเมินว่าภัยแล้งจะลากยาวเพียง 5 เดือนคือระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.2% อย่างไรก็ดี หากผลผลิตเสียหายกว่าที่คาดหรือสถานการณ์ลากยาวกว่าที่ประเมินไว้ จะกระทบต่อปริมาณผลผลิตและรายได้เกษตรกรให้แย่ลงกว่าที่คาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภัยแล้งรุนแรงและลากยาวไปจนถึงช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวช่วงสิ้นปี โดยเฉพาะข้าวนาปีที่ผลผลิตกว่า 90% ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว
3) ความไม่สงบของสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ และ 4) ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำมากเป็นเวลานาน ซึ่งเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมาราคาน้ำมัน WTI ซื้อขายต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังซาอุดิอาระเบีย วางแผนปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนเมษายน และปรับลดราคาขาย OSP (Offiical Selling Price) สำหรับน้ำมันดิบทุกเกรดที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้าทุกประเทศ หลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับพันธมิตร OPEC และรัสเซียได้
“หากราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน แม้ว่าจะส่งผลบวกในด้านต้นทุนพลังงานที่ต่ำลง ลดค่าครองชีพของครัวเรือน ลดต้นทุนขนส่งของภาคธุรกิจ ลดต้นทุนการนำเข้าน้ำมันและเชื้อเพลิงลง รวมถึงช่วยลดแรงกดดันต่อการขาดดุลการค้าในหมวดพลังงาน เนื่องจากไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิ แต่จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าที่พึ่งพิงรายได้จากการขายน้ำมัน เช่น รัสเซียและตะวันออกลาง ให้แย่ลง ดังเช่นในช่วงปี 2557-2559 ที่ราคาน้ำมันร่วงลงแรง นักท่องเที่ยวจากรัสเซียปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยขยายตัวติดลบเป็นระยะเวลายาวนานเกือบสองปี อีกทั้ง ราคาน้ำมันที่ลดลง ยังส่งผลกดดันต่อรายได้จากการส่งออกผ่านราคาสินค้าส่งออก รวมถึงราคาสินค้าเกษตร ให้ปรับตัวลดลงอีกด้วย” นายธรรมรัตน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงไปมาก ส่งผลให้ CDS Spread ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (เสมือนเป็นต้นทุนของการซื้อประกันความเสี่ยงจากโอกาสผิดนัดชำระของลูกหนี้ ยิ่งตัวเลขนี้สูง ยิ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระ) ของไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าระดับ 0.50% และสูงขึ้นราวเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี แม้ยังต่ำกว่าระดับในช่วงวิกฤตซับไพร์ม ปี 2551-2552, น้ำท่วม ปี 2554 และวิกฤตราคาน้ำมันที่ต่ำ ปี 2557-2559 แต่ก็สะท้อนว่าตลาดกำลังกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและฐานะการเงินของตราสารที่ตนเองถือครองอยู่ ไม่ว่าจะเกิดจากความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง หรือมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลขที่ต้องจับตา.