DRT ทุ่ม600 ล.ตั้งระบบโรบอท 50 ตัวใน 5 ปี
“ผลิตภัณฑ์ตราเพชร” วางงบลงทุนในปีนี้รวมประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อใช้ติดตั้งระบบโรบอทเพิ่มอีก 10 ตัว ตามแผนงานลงทุนระยะยาว ติดตั้งโรบอท 50 ตัวภายใน5 ปี และติดตั้งเครื่องจักร NT-11 เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์อีก 5.5 หมื่นตันต่อปี
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวถึงแผนดำเนินงานปี 2563 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 35 ปีของ DRT ได้วางแผนดำเนินธุรกิจ มุ่งเน้นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนกระบวนการผลิตให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพภายในโรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น เพื่อนำบริษัทฯก้าวเป็นองค์กรด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้าง
โดยปีนี้ ตั้งงบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาทประกอบด้วย 1.การลงทุนติดตั้งระบบโรบอทในโรงงานเพิ่มอีกประมาณ 10 ตัวในไลน์การผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์และงานพ่นสีวัสดุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุนต่อเนื่องในการติดตั้งโรบอท 50 ตัวภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2562 – 2566) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสู่ Process Innovation และรับมือปัญหาแรงงานขาดแคลน รวมถึงบริหารต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
2.ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในสายการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์ NT-11 เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ 5.5 หมื่นตันต่อปีซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จปลายปีนี้และเริ่มเดินเครื่องจักรผลิตเชิงพาณิชย์ต้นปี 2564 และ 3.บำรุงรักษาเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพที่ดีและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ตลาดวัสดุก่อสร้างปีนี้ คาดว่าจะเติบโตในระดับเดียวกับภาพรวมเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และผลกระทบจากภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในภูมิภาคต่างๆ และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงวางเป้าหมายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 25 – 27 เปอร์เซ็นต์ โดยเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีผ่านกลยุทธ์การบริหาร Product Mix การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 80 – 90% เท่ากับปีที่ผ่านมา เพื่อให้มีต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ”
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน DRT มีสัดส่วนยอดขายจาก 4 ช่องทางหลัก ประกอบด้วย ช่องทางร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยประมาณ 50% ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ 17 – 18% ลูกค้าโครงการ 15 – 16% และส่งออก 15 – 17% โดยบริษัทฯ จะรักษาสัดส่วนการขายสินค้าในประเทศจากทุกช่องทาง และเน้นการส่งออกสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่องมาตลอด จะเป็นหนึ่งในตลาดหลักของการส่งออกที่มีการเติบโตได้ดีในปีนี้.