‘แองเจิลฯ’ ชูกลยุทธ์”Blue Ocean”ฝ่าวิกฤตลูกค้าจีนหด
“แองเจิล เรียลเอสเตท” เผยอสังหาฯยังอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง ซ้ำเจอ”ไวรัส โควิด-19″ยิ่งฉุดลูกค้าจีนหดตัว หวั่นทิ้งดาวน์ ทิ้งโอนเพิ่ม แนะผู้ประกอบการปรับแผนยืดเวลาโอน ลดผลกระทบ เหตุลูกค้าจีนต้องการมีบ้านในไทย
นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการบริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด โบรกเกอร์รายใหญ่ที่ทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ถึงสถานการณ์ตลาดของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่เข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในไทยว่า สถานการณ์ในปี 2563 คาดว่ากลุ่มผู้ซื้อจากประเทศจีนจะยังชะลอตัวลดลงต่อเนื่องจากปี 2562 ซึ่งเป็นผลกระทบจากเรื่องเทรดวอร์ ได้ส่งผลเป็นวงกว้างต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ลดลง และกฎเกณฑ์ LTV ทำให้ผู้ลงทุนหรือลูกค้า ชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
ประกอบกับช่วงเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ “เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019(โควิด-19)” มีผลกระทบในหลายด้าน เพราะเราถูกประเทศจีนปิดเมือง ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากโครงสร้างลูกค้าหลักของบริษัทแองเจิลฯ ประมาณ 50%
ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจตั้งแต่กลางปี 2562 ที่ผ่านมา ได้แก่ การขยายตลาดจากประเทศไทย ไปสู่กลุ่มการเพิ่มฐานลูกค้าในประเทศอื่นที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพอร์ต ธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น , มาเลเซีย , บรูไน และประเทศตุรกี โดยแต่ละประเทศจะทำการตลาดที่แตกต่างกัน
สำหรับประเทศตุรกี จะเน้นทำตลาดมากขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ เรื่อง ได้รับหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ฟรี แก่ผู้เข้ามาลงทุนหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตุรกี โดย แองเจิลฯจะเข้าไปทำตลาดกับลูกค้าในประเทศบรูไน พม่า ฮ่องกง และจีน ที่ต้องการได้สิทธิพลเมือง เพราะการเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯตั้งแต่ 250,000 เหรียญสหรัฐฯ จะได้ถือพาสปอร์ตเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศได้
และแม้ขณะนี้ ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในไทย จะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเชื้อไวรัสโควิด19 ที่เกิดขึ้น แต่การที่ประเทศไทยยังเปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้คนจีนยิ่งประทับใจความเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ไวรัสจบสิ้นแล้ว คนจีนหรือแม้แต่ชาวสิงคโปร์ เริ่มมีแผนบี มองและต้องการมีบ้านหลังที่สองในไทย และเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะเข้าไปขยายตลาด ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านในไทย ในรูปแบบสัญญาเช่าระยะยาว (ลีสโฮลด์) 30 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง
ในส่วนแผนธุรกิจปีนี้วางยอดขายไว้ในประเทศไทย 900-1,200 ยูนิต มูลค่าการขาย 4,000-5,000 ล้าน อย่างไรก็ตาม หากกลยุทธ์ในการขยายตลาดในธุรกิจใหม่ๆประสบความสำเร็จทั้งในประเทศ และรวมกับจากต่างประเทศ ก็คาดว่าในปีนี้ทั้งกลุ่มจะมียอดขาย 8,000-9,000 ล้านบาท.