รบ.แจงเหตุงัด ม.44 แก้ปม“ธรรมกาย”
จากปัญหา “วัดพระธรรมกาย” ที่สะสมเป็นเวลานาน ทำให้รัฐบาลและคสช.ต้องออกใช้อำนาจตามมาตรา 44 อย่างน้อยสองฉบับจนถึงขณะนี้ในการแก้ไขปัญหา
คำสั่งแรกเป็นคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 5/2560 เรื่อง มาตรการให้อำนาจกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ที่ “ให้วัดพระธรรมกายตลอดจนพื้นที่โดยรอบวัดพระธรรมกายในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี รวมถึงพื้นที่หมู่ 7 หมู่ 8 หมู่ 9 หมู่ 10 หมู่ 11 หมู่12 และหมู่13 ในตำบลคลองสอง และพื้นที่หมู่ 7 หมู่ 8 หมู่ 9 หมู่ 10 และหมู่ 11 ในตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นพื้นที่ควบคุม”
และหลังจากมาตรา 44 ฉบับนี้ออกมา ก็ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง กับฝ่ายพระและศิษย์วัดพระธรรมกาย จนนำไปสู่การออกคำสั่งมาตรา 44 อีกฉบับ คือ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 12/2560 เรื่อง การกําหนดตําแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่ง
โดยคำสั่งฉบับนี้ หัวหน้าคสช. ให้ นายพนม ศรศิลป์ พ้นจากตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และให้ดํารงตําแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ตรวจราชการ หรือปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และให้ “พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์” ผู้บัญชาการสํานักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ้นจากตําแหน่ง และให้ดํารงตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ”
โดย “พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย แถลงว่า รัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 60 ล้านบาท โดยวัดพระธรรมกายได้รับผลกระทบหลายอย่าง และมองว่ารัฐสูญเสียความชอบธรรมจากการใช้ ม.44 เกินขอบเขตและไม่สมเหตุสมผล เพราะขณะนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องตัวบุคคล คือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของผิดหลักการและเรื่องพระพุทธศาสนา
“ประเด็นไม่ใช่ว่า ห่วงพระธัมมชโย แต่พระและประชาชนกลับเข้ามา เพราะห่วงพุทธศาสนา ห่วงวัดพระธรรมกาย ห่วงพระ ห่วงสามเณร ขณะนี้ ยังคงมีเจ้าหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของพระและประชาชน พระสนิทวงศ์ กล่าวว่า ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายและชาวพุทธในยุโรป จะได้เดินทางไปที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจัดประชุมใหญ่เรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อประท้วงและเรียกร้อง กรณีการใช้ ม.44 กับวัดพระธรรมกาย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนด้วย”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นในการใช้ม.44 กับวัดพระธรรมกายว่า ที่ผ่านมากฎหมายปกติใช้ไม่ได้ รัฐบาลจึงตัดสินใจใช้มาตรา 44 ซึ่งหลายคนอาจมองว่าไม่ได้ผล แต่ความจริงแล้วคสช.ต้องการให้สังคมได้เห็นว่า นี่คือปัญหาร่วมกันของคนทั้งประเทศ ที่ใช้อะไรก็ยุติคนไม่ดีไม่ได้ และในวันข้างหน้าไม่มีมาตรา 44 ไม่มีคสช.แล้วจะอยู่อย่างไร ทุกคนจะยอมรับให้เกิดการเช่นนี้เกิดขี้นต่อไปในอนาคตได้หรือไม่
พลเอกประยุทธ์ ยังย้ำอีกว่า ยืนยันว่าไม่ยกเลิกมาตรา44 เพราะยังไม่จบเรื่องแล้วจะยกเลิกได้อย่างไร ในเมื่อยังนำผู้ที่กระทำความผิด(พระธัมมชโย) มาดำเนินคดีไม่ได้ก็ยังยกเลิกไม่ได้ และวัดพระธรรมกายยังต้องเป็นพื้นที่ควบคุมไปตลอด จนกว่าจะมีการมอบตัวหรือดำเนินคดีได้ จากนั้นจึงจะบริหารจัดการใหม่
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยืนยันว่า การใช้มาตรา 44 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ และเรื่องการดำเนินคดีเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายได้มีการดำเนินการมานานมากแล้ว ซึ่งพบว่าที่ผ่านมา แม้ศาลจะอนุมัติหมายจับ หมายค้น ไปหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจค้นภายในวัดได้ จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 และไม่มีกายกเลิกมาตรา 44
เมื่อถามว่ามีแนวทางการดำเนินการอย่างไร หากพบหรือไม่พบพระธัมมชโย พล.อ.ประวิตร ตอบว่า รอเจ้าหน้าที่ทำทุกขั้นตอนก่อน ตนได้มอบให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม ฐานะกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการและใช้ตำรวจสนับสนุน โดยทหารจะอยู่ภายนอก ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง
ด้าน“นักกฎหมายมือ 1” ประจำทำเนียบรัฐบาล ยืนยันว่า การย้ายนายพนมไม่ได้มีความผิดอะไร เพียงแต่ต้องการให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และถือเป็นการดีกับตัวของนายพนมเองด้วย เพราะที่ผ่านมานายพนมพยายามประสานงานเท่าที่ทำได้ แต่ต้องเข้าใจว่าตำแหน่งผู้อำนวยการ พศ. มีความจำเป็นต้องดูแลตามความต้องการของมหาเถรสมาคม (มส.) จึงทำให้วางตัวลำบาก ซึ่งการโยกย้ายถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ทำให้นายพนมถอยออกมาก่อน