ลลิลฯ ส่ง 7 โครงการโซนรังสิตรับกำลังซื้อ-รถไฟฟ้าหนุน
อสังหาฯปี 63 ดูแนวโน้มไม่สดใส ปัจจัยเศรษฐกิจยังส่งผลกระทบ เทรดวอร์ เงินบาทแข็งค่า กระทบส่งออก ส่วนการท่องเที่ยวยังปรับตัวได้ดี “ลลิลฯ”รุกหนักโซนรังสิต-ปทุมธานี-ลำลูกกา กับ 7 โครงการบ้านจัดสรร มูลค่ากว่า 4,000 ลบ. ชี้ศักยภาพสูง เหมาะอยู่อาศัย
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า เรามองปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เนื่องจากการลงทุนใหม่ๆ จากต่างประเทศยังไม่เข้ามา ขณะที่เงินบาทของไทยปรับตัวแข็งค่าขึ้นไม่ต่ำกว่า 10-20% ส่งผลให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นข้อเสียเปรียบในเชิงการค้า ขณะที่ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของไทยปรับตัวเป็นบวก มีนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดีย รัสเซีย เข้ามาทดแทนชาวจีนที่ลดลง เรื่องเทรดวอร์ยังคงเป็นปัญหาที่หนักรุนแรงกว่าที่คาดไว้
สำหรับภาพรวมธุรกิจของลลิลฯช่วงส่งท้ายปี 62 นั้น ยังมั่นใจว่าทั้งปีจะเปิดได้ 8-10 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท โดยได้เปิดไปแล้ว 9 โครงการในทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยโซนรังสิตตั้งแต่ลำลูกกา รังสิต-องครักษ์ และคลองหลวง ถือเป็นพื้นที่ศักยภาพของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความสะดวกในด้านการเดินทางจากโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ขณะที่ในปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้งสายสีแดงธรรมศาสตร์ รังสิต-บางซื่อ และรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต มีการขยายสนามบินดอนเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลลำลูกกา-รังสิต ถือเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในเมือง แต่ละปีจะมีการเปิดโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 7,000-9,000 หน่วย ซึ่งโครงการทาวน์โฮมของบริษัทฯ ในทำเลรังสิต ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท ได้ห้องนอน 3 ห้องนอน และที่จอดรถ 2 คัน ส่วนบ้านราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 ล้านกว่า – 6ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่เปิดการขายอยู่ 7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
“ในช่วงไตรมาสที่ 3 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากที่ต้องปรับตัวอย่างมากในไตรมาส 2 จากมาตรการ LTV อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 4 ตลาดรวมก็น่าจะยังทรงตัว ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจของโลกและในประเทศที่ยังมีแนวโน้มทรงตัว และผลจากมาตรการ LTV ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยบวกของตลาดที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้บ้านได้ง่ายขึ้น และในไตรมาสสุดท้ายถือเป็นช่วง High Season ของการซื้อบ้านจากลูกค้าที่ได้ปรับเงินเดือนและโบนัส จะเริ่มมองหาการซื้อที่อยู่อาศัยบวกกับมาตรการรัฐที่ออกมา ลดค่าธรรมเนียมโอน และจดจำนอง รวมถึงวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษจาก ธอส. ทั้งนี้ จึงเป็นแรงบวกที่จะช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี”.