สรรพากรรุกขยายฐานยื่นภาษีออนไลน์
กรมสรรพากรหวั่น “สังคมคนแก่” ทำยอดผู้เสียเงินได้บุคคลธรรมดาหดตัว กระทบการจัดเก็บรายได้ในอนาคต สั่งเดินหน้าใช้ “ดิจิทัล เทคโนโลยี” ที่เข้มข้นขึ้น ช่วยขยายฐานภาษีต่ออีกปี หวังขยายฐานบุคคลธรรมดาเพิ่มจาก 11.7 เป็น 14 ล้านคนในอีก 2 ปีเศษ เผยกลุ่มคนยื่นเสียภาษีออนไลน์ จะถูดจัดชั้นเป็น “ลูกค้าชั้นดี” ได้สิทธิประโยชน์เพียบ จับตากลุ่มเลี่ยงภาษีและจ่ายภาษีเป็นเงินสด ยกเป็น “กลุ่มเสี่ยง”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวภายหลังการประชุมและให้นโยบายแก่ผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วประเทศในปีงบประมาณฯ 2563 ว่า กรมสรรพากรจะยกระดับการทำงานครั้งใหญ่ โดยดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ DRIVE ต่อเนื่องจากปีก่อน เน้นการจัดเก็บรายได้ภาษีให้ตรงเป้า ออกนโยบายภาษีให้กลุ่ม และให้บริการผู้เสียให้ตรงใจ ด้วยการยึดเอาผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลางของการบริการ
ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ข้างต้น ทำให้กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นจากประมาณเดิมที่ 2 ล้านล้านบาท มากถึง 9,130 ล้านบาท นับเป็นครั้งในรอบ 7-8 ปีที่ผ่านมา โดยในส่วนของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น พบว่ามีผู้ยื่นเสียภาษีผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคนในปีก่อน เป็น 11.7 ล้านคนในปี 2562 จากฐานข้อมูลของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคธรรมดาทั้งหมดราว 14 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรพยายามจะดึงเอากลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เหลืออีกกว่า 3 ล้านคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีให้ได้ภายใน 2-3 ปีนับจากนี้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ มีทั้งกลุ่มคนที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการยื่นเสียภาษี กลุ่มผู้ค้าออนไลน์ รวมถึงกลุ่มคนที่มีเจตนาจะหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งกรมสรรพากรจะพยายามทำระบบการเสียภาษีให้ง่ายขึ้น และสร้างแรงจูงใจให้คนทุกกลุ่มเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากยิ่งขึ้น เช่น บริการที่สะดวกรวดเร็ว และการคืนภาษีที่เร็วขึ้น ทั้งนี้ คนที่ยื่นเสียภาษีผ่านระบบออนไลน์ที่มีราว 70-80% ของฐานผู้เสียภาษี ณ ปัจจุบันที่ 11.7 ล้านคนนั้น จะถูกยกระดับให้เป็นผู้เสียภาษี “ชั้นดี” (เกรด A) ที่จะได้สิทพิเศษข้างต้น ขณะที่กลุ่มผู้เสียภาษีในระบบเอกสาร โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ังคงใช้จ่ายเงินสดในการชำระภาษีอาจเป็นกลุ่มที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังพยายามเพิ่มจำนวนผู้เสียภาษีในกลุ่มนิติบุคคล ที่มีอยู่ในปัจจุบันราว 4.6 แสนราย จากฐานข้อมูลรวมของผู้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลกว่า 6 แสนราย โดยดึงเอากลุ่มนิติบุคคลที่อยู่นอกระบบภาษี ซึ่งบางกลุ่มอาจปิดกิจการไปแล้ว บางกลุ่มอาจไม่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน และกลุ่มที่ตั้งใจหลบหลีกเลี่ยงภาษี โดยจะเข้าไปตรวจสอบเพื่อจัดกลุ่มของนิติบุคคลเหล่านั้น ควบคู่ไปกับการเชิญชวนให้กลุ่มบุคคลธรรมดาที่ดำเนินธุรกิจได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีนิติบุคคลมากยิ่งขึ้น โดยจะสร้างแรงจูงใจให้กับคนกลุ่มนี้ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“กรมสรรพากรไม่ได้มุ่งหวังจะดำเนินการเชิงรุกในการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น แต่จะเน้นสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีในระบบ เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการดำเนินธุรกิจ โดยดึงเอากลุ่มคนนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ซึ่งหากเป็นกลุ่มคน และ/หรือ นิติบุคคล ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการยื่นเสียภาษี ก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ทางกลับกัน หากเป็นกลุ่มที่มีเจตนาจะหลบเลี่ยงภาษีกรมสรรพากรก็จะดำเนินการเอาผิดให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นต่อไป”
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกีมสรรพากรยังแสดงความกังวลใจ หลังจากกรมสรรพากรได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี ตามฐานการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เนื่องจากสังคมไทยได้เข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุแล้ว ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการเสียภาษีบุคคลธรรมดาของคนวัยทำงานลดลง กระทบทั้งรายได้ภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat 7%) ที่จะลดลงตามปริมาณการใช้จ่ายเงินในระบบที่ลดลงด้วย ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการทำงานของกรมสรรพากร กระนั้น กรมสรรพากรยังเชื่อว่ายุทธศาสตร์ DRIVE จะพอบรรเทาสัดส่วนที่ลดลงของผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาได้ในระยะหนึ่งอย่างแน่นอน
อนึ่ง ในปีงบประมาณฯ 2563 นี้ กรมสรรพากรได้รับมอบหมายให้จัดเก็บรายได้ 2.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาทจากปีก่อน.