เศรษฐกิจไทยผวา “ทรัมป์”

ตลาดหุ้น เงินบาท และทองคำภายในประเทศ ผันผวนหนักรับข่าว “โดนัลด์ ทรัมป์” สร้างกระแสกดดันเศรษฐกิจไทยด้านลบ กูรูเศรษฐกิจชี้จับตาอย่างใกล้ชิดระวังเงินบาทผันผวน
ทันทีที่ “ โดนัลด์ ทรัมป์ ” ประกาศชัยชนะค้ำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 มาครอบครองได้สำเร็จ ก็เกิดปรากฏการณ์ที่น่าจับตาในสังคมคนอเมริกัน เนื่องจากมีผู้ประท้วงหลายพันคนได้รวมตัวกันบนถนน 6th Avenue ในเมืองแมนฮัตตัน เพื่อเดินขบวนไปยัง Trump Tower เรียกร้องให้ถอดถอนตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ยังมีผู้ชุมนุมมารวมตัวกันเพื่อประท้วงในประเด็นดังกล่าวตามเมืองใหญ่ๆ และวิทยาลัยทั่วประเทศอีกด้วยโดยกลุ่มผู้ประท้วงที่นิวยอร์กรวมตัวกันที่ยูเนียน สแควร์ เพื่อต่อต้าน “ โดนัลด์ ทรัมป์ ” หลังจากที่ทรัมป์สามารถคว้าชัยชนะเหนือนางฮิลลารี คลินตัน ไปแบบพลิกความคาดหมายด้วยคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งจากทุกรัฐสูงถึง 290 ต่อ 218 เสียงทั้งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงแสดงความโกรธเกรี้ยวและตะโกนถ้อยคำต่าง ๆ พร้อมด่าทอและปฎิเสธไม่ยอมรับนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
ขณะที่บรรยากาศในประเทศไทย หลังจากที่รับทราบข่าวจากสื่อทีวีทั่วโลกที่รายงานว่า “ โดนัลด์ ทรัมป์ ” จะก้าวขึ้นเป็นประธานนาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ในวันที่ 20 ม.ค.2560 นี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่า กรณีที่คนสหรัฐฯ ลงคะแนนเสียงให้นายโดนัล ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐตนใหม่นั้น เรื่องนี้มองว่า ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ เศรษฐกิจไทยก็จะได้รับผลดีอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อนาย โดนัล ทรัมป์ ได้ตำแหน่งทางรัฐบาลไทยก็ไม่นิ่งนอนใจ ก็ต้องตามติดนโยบายสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ประชาชนอเมริกาต้องการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คาดว่า จะมีผลกระทบระยะสั้นต่อในตลาดเงินตลาดทุน แต่ภาคเศรษฐกิจจริง คงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปี สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกน่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นการส่งออกของไทยในช่วง ที่เหลือยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ตามการคาดการณ์
สำหรับในปีต่อไป ไทยคงต้องจับตาการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่อาจจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น และอาจส่งผลกระทบด้านต่างๆ เช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีขึ้นหรือไม่ ราคาน้ำมันจะขึ้นตามที่คาดไว้หรืออาจจะเกิดการผันผวนอย่างมาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับดอกเบี้ยขึ้นตามที่คาดหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งความผันผวนเหล่านี้ จะจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน และราคาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ สูงขึ้น ในขณะที่ผลกระทบจากนโยบายลดภาษียังต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ 2.2% และ 3.4% ตามลำดับในปี 60 และจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 60 มีความเสี่ยงและท้าทายมากขึ้น
ส่วนผลกระทบระยะยาว ด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นายทรัมป์ มีแนวโน้มคัดค้านความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี) แต่คาดว่า อาจเจรจาการค้าฉบับใหม่ ที่มีลักษณะปกป้องผลประโยชน์คนอเมริกันมากขึ้น ซึ่งอาจนำมาสู่การขยายแนวความคิดด้านชาตินิยม และไม่ให้ความสำคัญกับการค้าเสรีไปสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวปริมาณการค้าโลก และของไทย
” การส่งออกไทยจะมีความเสี่ยงมากขึ้น หากสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าในทิศทางที่กีดกันมากขึ้น ประกอบกับ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกโดยรวม ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เศรษฐกิจไทยในขณะนี้แข็งแกร่ง มั่นใจว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงมากนัก แต่อยากให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กปรับตัว เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะจากอัตราแลกเปลี่ยน ” รมว.พาณิชย์ กล่าว
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการค้าโลก เพราะนโยบายหาเสียงของนายทรัมป์ มีแนวโน้มที่ใช้ระบบปกป้องการค้า และโดดเดี่ยวตัวเองมากขึ้น โดยจะยึดนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจที่มองผลประโยชน์ของสหรัฐฯเป็นหลัก แทบจะปิดประเทศ ซึ่งจะตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า และออกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีมากขึ้น เช่น มาตรการสุขอนามัย สนับสนุนนโยบายซื้อสินค้าอเมริกัน (Buy American) เพื่อให้มีการจ้างงานคนอเมริกันมากขึ้น ซึ่งอาจผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทย เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของ ซึ่งจะต้องติดตามดูว่าจะมีผลต่อสินค้าไทยอย่างไร ผู้ส่งออกไทย ต้องเตรียมพร้อม และหาตลาดส่งออกใหม่
สำหรับผลกระทบต่อข้อตกลงความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) นั้น นายทรัมป์ไม่เอาข้อตกลงนี้ ซึ่งอาจทำให้ข้อตกลงนี้ ไม่มีผลบังคับใช้ในอนาคต มีผลต่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอาเซียน ที่เป็นสมาชิกทีพีพีอยู่แล้วคือ เวียดนาม สิงค์โปร์ บรูไน มาเลเซีย ซึ่งหากทีพีพีไม่มีผลบังคับใช้ จะต้องจับตาดูว่า จีนจะถือโอกาสมาสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้มากขึ้นหรือไม่
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ไม่เป็นห่วงกรณีทีพีพี ว่าจะมีผลทำให้การส่งออกของไทยลดน้อยลง ในทางตรงกันข้าม ไทยจะได้เปรียบมากกว่า และสหรัฐฯ น่าจะพร้อมเจรจาทางการค้ากับไทยมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ไทยต้องยกระดับตัวเองให้มีมาตรฐานเทียบเท่าทีพีพี พร้อมทั้งตั้งรับกับปัอัตราแลกเปลี่ยน ที่จากนี้ไปค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบทั่วโลก ไม่ใช่ไทยเท่านั้น และมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และการส่งออกไทยจะลดลงตามไปด้วย
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งพิจารณาว่า จะยกเลิกทีพีพีหรือไม่ และต้องแถลงนโยบายก่อน แต่เชื่อว่า การค้า การส่งออก ยังคงดำเนินไปตามปกติ อีกทั้งเห็นว่าคงยากที่สหรัฐฯ จะไม่ซื้อสินค้าจากไทย หรือปิดประตูขังตัวเอง ที่ผ่านมา ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 10% ของการส่งออกรวมเท่านั้น จึงมองว่า ไม่น่าจะกระทบต่อการส่งออกไทยมากนัก อย่างไรก็ตาม ไทยปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ในการหาตลาดใหม่ๆ เช่น แอฟริกา อิหร่าน ปากีสถาน และเป็นโอกาสดีที่ไทยจะไปเจรจาทางการค้ากับประเทศเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายนโยบายการเงิน กล่าวว่า ตลาดการเงินของไทยวานนี้ (9 พ.ย.) ค่อนข้างมีความผันผวนสูง แต่เชื่อว่าจะเป็นไปในระยะสั้น โดยจะค่อยๆ ปรับตัว และกลับสู่ภาวะปกติได้ โดยกรณีนี้ ธปท.ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตาม ธปท.อยากให้นักธุรกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนเคลื่อนย้าย และค่าเงินบาทเตรียมตัวรับมือกับความผันผวนที่สูงขึ้นกว่านี้
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านนั้น ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,509.43 จุด ลดลง 0.41 จุด (-0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 93,328.59 ล้านบาท นักวิเคราะห์เผยฯตลาดหุ้นไทยวันนี้วันนี้ (9พ.ย.) ผันผวนค่อนข้างมาก หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ โดยนักทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2,629 ล้านบาท
ขณะที่ ตลาดเงินบาทในช่วงเช้า เปิดตลาด 34.95/96 บาท/ดอลลาร์ และปิดตลาด 34.92/95 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 34.89 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 34.96 บาท/ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำภายในประเทศ ปรับเปลี่ยนวันเดียว 19 ครั้ง รวมราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา 200 บาท ส่งผลให้ทองแท่งรับซื้อบาทละ 21,400.00 ขายออกบาทละ 21,500.00 ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 21,011.76 ขายออกบาทละ 22,000.00