อันดับทำธุรกิจในไทยพุ่งพรวด 6 ขั้น
อันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจของไทยพุ่งพรวด 6 อันดับ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 21 ของโลก เผย “ตัวเด่น” สร้างผลงานเยี่ยมคือ “คุ้มครองเสียงข้างน้อย – ขออนุญาตก่อสร้าง” ส่วนการชำระภาษี “ต่ำสุด” เหตุธนาคารโลกใช้ฐานข้อมูลก่อนที่กรมสรรพากร “ปรับเกณฑ์ใหม่ – ใช้เทคโนโลยีทำงาน” ด้าน “อุตตม” สั่งเร่งพีอาร์เชิงรุก! หลังธนาคารโลกติง “อ่อนพีอาร์”
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีธนาคารโลกปรับเพิ่มอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจปี 63 (Doing Business 2020) ของไทยจากเดิม 27 มาอยู่ที่ 21 โดยมีคะแนน 80.10 คะแนน เพิ่มขึ้น1.65 คะแนน ว่า เป็นอันดับที่ดีสุดในรอบ 6 ปี และไม่ห่างจากสิงคโปร์ (86.20 คะแนน) ที่อยู่อันดับ 2 ของโลก และอันดับ 1 ของอาเซียน และมาเลเซีย (81.50 คะแนน) อันดับ 12 ของโลก และอันดับ 2 ของอาเซียน
ทั้งนี้ เพราะภาครัฐได้ดำเนินมาตรการที่เอื้อต่อการจัดอันดับ เช่น ลดขั้นตอนการขออนุมัติ นำระบบดิจิทัลมาใช้ในงานบริการภาครัฐ การปรับปรุงระเบียบต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันของภาคธุรกิจ รวมถึงคุ้มครองประโยชน์ของนักลงทุน นอกจากนี้ ยังเตรียมนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาร่วมในการดำเนินงานและให้บริการภาครัฐ ตั้งแต่งานระบบภาษี การอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ รวมถึงการวางระบบ e National Payments ในการชำระเงิน ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดจะเอื้อประโยชน์ต่อไทยในภาพรวม รวมถึงส่งผลต่ออันดับของไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อในปีต่อๆ ไป
“แม้ภาพรวมอันดับของไทยจะดีขึ้น แต่ยังต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้สะดวกและเอื้อต่อการแข่งขันของผู้ประกอบการในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวต่อผู้ประการทั้งภายในและนอกประเทศ โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทำประชาสัมพันธ์เชิงรุก และสาธิตการปรับปรุงในการดำเนินการโดยเร็ว สอดรับกับข้อเสนอของธนาคารโลกที่แนะนำให้ไทยต้องเร่งสื่อสารให้มากขึ้น” รวม.คลังระบุ และว่า ขณะที่ไทยเร่งปรับปรุงตัวเอง ประเทศต่างๆ ก็ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน จึงเร่งทำทั้ง 2 อย่างคู่ขนานกันไป ทั้งการปรับปรุงระบบต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น และเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสื่อสารถึงผู้ประกอบการทุกกลุ่มโดยเร็ว
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะเราได้คะแนนในด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย สูงเป็นอัน 3 ของโลกในกลุ่มนี้ โดยขยับจากอันดับ 15 และมีคะแนนสูงถึง 86 คะแนน รวมถึงด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ที่ขยับจากอันดับ 67 เป็น 34 ที่คะแนน 77.30 คะแนน
ส่วนที่ธนาคารโลกเคยตั้งสังเกตุถึงด้านที่ไทยมีคะแนนน้อย โดยเฉพาะด้านการชำระภาษี ซึ่งครั้งนี้ไทยถูกปรับลดอันดับลงจากเดิม 59 เป็น 68 นั้น ส่วนหนึ่งเพราะธนาคารโลกยังใช้ฐานข้อมูลเดิมในปี 61 มาประเมินอันดับของไทย ซึ่งความเป็นจริงแล้วกรมสรรพากรได้ดำเนินการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในระบบภาษี ด้วยการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ คาดว่าการจัดอันดับในด้านการชำระภาษีของไทยในปีหน้าจะดีกว่านี้
สำหรับอีก 2 ด้านที่ธนาคารโลกมองว่ายังเป็นปัญหาคือ ด้านการแก้ไขปัญหาการล้มละลายและการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของการแก้ไขปัญหาการล้มละลาย นกับของไทยยังคงเดิมที่ 24 ขณะที่ มีการการบังคับให้เป็นไปตามสัญญา ถูกปรับลดอันดับลงจาก 35 เป็น 37.