ปมร้อนน้องบิ๊กตู่ จี้ต่อมโปร่งใส “คสช.”
ประเด็น “ ทอล์คออฟเดอะทาวน์ ” ในโลกโซเซียลมีเดียหลัง “ มือมืด ” ปล่อยภาพ “ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ” ภรรยา “ บิ๊กติ๊ก ” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย “ บิ๊กตู่ ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้งบประมาณหลวงสร้างฝายกั้นน้ำ “แม่ผองพรรณพัฒนา” ที่จ.เชียงใหม่
ที่มาของเรื่องเกิดเมื่อกลางเดือนกันยายน ที่ “ ภรรยาบิ๊กติ๊ก ” ในฐานะนายกสมาคมภริยาข้าราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม หอบคณะแม่บ้าน ขึ้นเครื่องบินกองทัพอากาศ เหินฟ้าไปสร้างฝายชะลอน้ำราคา 7,800 บาท ที่อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
นำมาซึ่งการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวน “ บิ๊กติ๊ก ” กรณีเอื้อประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้ “ คนนอก ” สร้างฝายชะลอน้ำ และมีการระดมนายทหารมาช่วยงานด้วย รวมถึงสอบสวนกองทัพอากาศที่มีการอนุญาตให้ใช้เครื่องบินของกองทัพสำหรับการเดินทาง
สังคมคลางแคลงใจ พากันตั้งคำถามถึงความเหมาะสม แต่ก็ได้รับคำตอบจาก “ บิ๊กติ๊ก ” ในทำนองว่า “ พล.อ.ประยุทธ์ ได้โทรศัพท์มาหาในระหว่างเดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่ประเทศให้เงียบๆไม่ต้องชี้แจงอะไร เราไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ส่วนข่าวโจมตีที่มีกระเเสแรงขึ้นนั้น ก็ให้สืบหาข้อเท็จจริงเอา สิ่งไหนไม่ถูกต้องก็ว่ากันไป ”
ฝ่าย “ พี่ชาย ” พลเอกประยุทธ์ ที่กลับมาจากประชุมระดับโลกที่อเมริกา ตอบแบบกว้าง ๆ ว่า “ เมื่อมีข่าวก็ห่วงน้อง แต่เชื่อว่า เขาไม่ทำอะไรโง่ ๆ ถามว่าผมรักน้องไหม ผมก็รัก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมช่วยเขาไม่ได้ และผมก็มาตะแบง ชี้แจงส่งเดชไม่ได้ เรื่องนี้จึงอยู่ระหว่างการรอว่า ป.ป.ช.จะมีความเห็นรับสอบเรื่องนี้อย่างไร จะไม่ปกป้อง ถ้าทำผิดก็รับผิดชอบไป ”
นับว่าเป็นคำตอบที่ “ ได้ใจ” ระดับหนึ่ง แต่สังคมก็ยังสงสัยเพราะยังไม่มีการชี้แจงให้กระจ่างชัดถึงการใช้งบประมาณหลวง และนำเครื่องบินทหารไปใช้ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกมองว่าสองมาตรฐานเลือกปฏิบัติหรือไม่
แต่เรื่องวุ่นๆยังไม่จบเท่านั้น เอฟเฟ็กต์พุ่งโจมตีหนัก “ ครอบครัวจันทร์โอชา ” อีกระลอก เมื่อมีการขุดข้อมูลมาได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมี “ปฐมพล จันทร์โอชา” บุตรชายคนโตของ “ บิ๊กติ๊ก ” เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไปรับงานก่อสร้างของ กองทัพภาคที่ 3 ช่วงตั้งแต่เดือนธ.ค. 2557 – เม.ย. 2559 ทั้งสิ้น 7 โครงการมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท
งานนี้ครอบครัว “ จันทร์โอชา ” ตกอยู่ในวงล้อมที่ต้องเผชิญมรสุมโหมจากสังคมเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะในอดีต “ บิ๊กติ๊ก ” มีสถานะเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ย่อมต้องมีอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยังทำงานเป็นมือ เป็นไม้ให้ในปัจจุบัน
แต่ที่เรื่องดันลุกลามใหญ่โต เพราะดันไปย้อนแย้งกับคำประกาศกร้าวของ “ รัฐบาล-คสช.” ที่ต้องการ “ ปราบโกง” จนได้เห็นปรากฎการณ์ผู้หลัก ผู้ใหญ่ในรัฐบาลต้องออกมากางปีกปกป้อง
ทั้ง “ วิษณุ เครืองาม ” รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ไล่มาจนถึง “ พี่ใหญ่คสช.” บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม
“ เรื่องนี้จบไปแล้ว ส่วนเรื่องเอกสารการชี้แจงต่างๆ ขอให้ไปขอเอกสารที่กองทัพภาคที่ 3 แต่ตอนนี้ผมเห็นว่าก็มีการเปิดเผยกันไปหมดแล้ว เพราะทุกอย่างไม่ได้ทำแบบไม่มีหลักเกณฑ์ เนื่องจากต้องทำตามระเบียบวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ผ่านมาผมเจอ พล.อ.ปรีชาก็บอกว่าไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัทของบุตรชาย เพราะเมื่อบุตรชายอยากทำบริษัทก็ให้ทำ ส่วนที่มองว่าสาเหตุที่ถูกจับตามองเพราะนามสกุลจันทร์โอชานั้นก็อาจเป็นไปได้ ”
ดูตามท้องเรื่องจนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครกล้าออกมาฟันธงว่ามีความผิดจริงหรือไม่ แม้แต่ตัว “ บิ๊กตู่ ” เอง ก็ยังไม่คอนเฟิร์ม ประเด็นดังกล่าวค่อนข้างเปราะบาง เพราะสังคมจับตาและคาดหวังว่าคสช.ในฐานะที่เป็นตัวอย่างเรื่องความโปร่งใส แต่เมื่อคนใกล้ตัว ต้องมาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ผลกระทบที่ตามมาจึงยิ่งรุนแรง
อาจบานปลายถึงขั้นส่งผลกระทบกระทบถึง “ บิ๊กตู่ ” จนอาจนำมาซึ่งปัญหาลั่นคลอนเสถียรภาพของคสช. และให้ฝ่ายตรงข้ามจ้องเล่นงานก็เป็นได้.