คลังยกทีมย้ำชัด! พร้อมรับมือคลื่น“ชิมช้อปใช้”

“อุตตม” ย้ำ! ไม่ทิ้ง “เกษตร-คนจมน้ำ” พร้อมยกทีม “สศค.-บัญชีกลาง-ททท.-กรุงไทย” ดาหน้ายืนยันความพร้อมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” หวังดึงทุกความร่วมมือ โดยเฉพาะซีกปล่อยเงินกู้จากแบงก์รัฐ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 4 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำ “ระบบงาน-เทคโนโลยี-คนและเงิน” พร้อม ด้านบิ๊กแบงก์กรุงไทย จัด จนท.แบงก์ฯ ทุกสาขา รับลงทะเบียนให้คนไม่ถนัดใช้สมาร์ทโฟน เริ่มจริง 23 ก.ย.นี้
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง แถลงข่าวความพร้อมของมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ว่า ขณะนี้ ระบบงานและแอปพลิเคชันต่างๆ มีความพร้อมรองรับการเปิดรับลงทะเบียนให้กับประชาชนวันละ 1 ล้านคน รวม 10 ล้านคนที่จะได้รับเงินใช้จ่าย 1,000 บาทต่อคนแล้ว และยังได้รับสิทธิ์ Cash Back จากการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตุง” อีก 15% รวมกันไม่เกิน 45,000 บาท โดยเริ่มรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย.62 ผ่าน www.ชิมช้อปใช้.com และการเดินทางท่องเที่ยวพร้อมจับจ่ายใช้สอยที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.- 30 พ.ย.62

“รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งเกษตรและผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งบางมาตรการในชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น มีการดูแลเกษตรกและผู้ประสบภัยธรรมชาติรวมอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของมาตรการ “ชิมช้อปใช้” นั้น 0ภาครัฐเอา ได้จัดเตรียมความพร้อมไว้รองรับครบในทุกมิติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบงาน การจัดหาร้านค้าเข้าร่วมโครงการ ซึ่งถึงตอนนี้ มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการเกินกว่าเป้าหมายเดิมที่ 40,000 แห่ง จนใกล้ถึงยอด 55,000 แห่งแล้ว และกรมบัญชีกลาง โดยคลังจังหวัดและธนาคารกรุงไทย พร้อมจะเปิดรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมากยิ่งดี ทั้งต่อตัวนักท่องเที่ยวที่ใช้เงิน และตัวร้านค้าเอง” รมว.คลังระบุ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า
หากทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว มาตรการดังกล่าว รวมถึงมาตรการอื่นๆ ในชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินของรัฐ ก็น่าจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้ในระดับที่น่าพอใจ หลังจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าของชาติมหาอำนาจ ทั้งนี้ ยังเชื่อว่าหากเครื่องมือและกลไกต่างๆ เดินไปตามที่วางแผนไว้ เม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ระบบ และมีการหมุนเวียนเปลี่ยนมือไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนล้านบาทนั้น ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี โดยยืนยันว่ามาตรการ “ชิมช้อปใช้” ไม่มีส่วนของการเรียกเก็บภาษีแต่อย่างใด
เวทีเดียวกัน น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง, นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และนายผยง ศรีวณิช กก.ผจก.ใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมแถลงข่าวเพื่อเป็นการยืนยันถึงความพร้อมของมาตรการข้างต้น
โดยอธิบดีกรมบัญชีกลาง ระบุว่า การเปิดรับร้านค้าเข้าร่วมโครงการฯยังคงเปิดรับต่อเนื่องจนถึงวันที่ 20 พ.ย.นี้ และอาจเป็นไปได้ที่ รมว.คลัง จะขยายเวลาออกไป หากความต้องการของร้านค้ายังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จำนวนร้านค้าเกือบ 55,000 รายนั้น แยกเป็นร้านช้อป 25,754 แห่ง หรือ 48%, ร้านใช้ 25,555 แห่ง หรือ 47% ที่เหลือ 5% เป็นประเภทร้านใช้ ราว2,631 แห่ง โดยมาตรการดังกล่าว กำหนดสิทธิ์การใช้จ่ายวงเงิน 1,000 บาท ในจังหวัดที่ลงทะเบียนไว้ ภายใน 14 วัน หลังการลงทะเบียนและได้รับการยืนยันแล้ว แต่หากมีการใช้จ่ายบางส่วน เงินที่เหลือสามารถนำไปใช้ในวันต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการที่30 พ.ย.62 ซึ่งในส่วนของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องดาวน์โหลดแอปฯ “ถุงเงิน” รองรับการใช้จ่ายของประชาชน ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง”

ขณะที่ ผู้ว่าการ ททท.เสริมว่า ในส่วนของร้านค้า ถือว่า มีร้านค้าขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเสียง และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในกลุ่มชิม ช้อป หรือใช้ ก็ตาม ซึ่ง ททท.เอง ได้ประสานกับกรมบัญชีกลาง โดยให้รายชื่อของร้านค้าชั้นนำ เพื่อให้ประสานดึงเข้ามาร่วมโครงการ ทั้งนี้ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ฝากบอกคนไทยว่า ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯเอง ก็พร้อมจะสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
ด้าน ผอ.สศค.กล่าวว่า หากประชาชนให้ความสนใจ จนมีการลงทะเบียนเต็มจำนวน 10 ล้านคนที่กำหนด กระทรวงการคลังก็พร้อมจะเปิดรับต่อไปเรื่อยๆ ในฐานะ “wating list” (รายชื่อของคนที่รอคิว) โดยจะพิจารณาหลังจากมีการลงทะเบียนในวันแรก และรอดูต่อไปอีก 14 วัน หากคนเหล่านี้ ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่ได้ทำตามเงื่อนไขที่กำหนด ก็จะเลื่อนรายชื่อ wating list ขึ้นมาตามลำดับ ทั้งนี้ ในส่วนของเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการ “ชิมช้อปใช้” คนละ 1,000 บาท รวม 10 ล้านคน คิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างรอโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย โดยจะทยอยโอนในทุกๆ วัน
ส่วน กก.ผจก.ใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ยืนยันว่า ระบบงานต่างๆ ที่นำมาใช้ ถือเป็นการต่อยอดจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนมากถึงกว่า 14 ล้านคน เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีถึงความพร้อมของระบบงานและเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เนื่องจากมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สูงในระดับเดียวกับที่สถาบันการเงินชั้นนำใช้กัน ขณะเดียวกัน ก็มีการแยกระบบงานของมาตรการข้างต้น ออกจากระบบงานปกติของธนาคารฯเพื่อป้องกันปัญหาที่หลายฝ่ายอาจเป็นกังวลใจได้
“เพื่อเป็นช่วยเหลือกลุ่มคนที่อาจไม่ถนัดในเรื่องเทคโนโลยีและการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อการลงทะเบียนฯ ดังนั้น ผมจึงสั่งการและประสานไปยังสาขาต่างๆ ของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ ให้เตรียมความพร้อมรองรับประชาชนที่ต้องการจะเจ้าหน้าที่ของธนาคารฯ ทำการลงทะเบียนให้แล้ว โดยเรื่องนี้ มีการเตรียมการและประสานงานไปแล้วก่อนหน้านี้ เชื่อว่าสาขาของธนาคารกรุงไทยทุกแห่ง พร้อมจะให้ความช่วยเหลือแก่ทุกคนอย่างเต็มที่” นายพยงย้ำ.