“แสนสิริ” ท้าชนทุกสนาม
“แสนสิริ” มั่นใจปีนี้ โต 65% เปิดคอนโดฯ ใหม่ 11 แห่ง มูลค่ารวม 35,100 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดตลาดจีน-โกอินเตอร์ สร้างแบรนด์
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แผนการรุกตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2559 บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ เป็นหลัก รวมถึงในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นการพัฒนาในเฟสต่อเนื่อง และพัฒนาจากที่ดินที่แสนสิริเคยซื้อไว้เดิม รวมทั้งบริษัทจะพัฒนาโครงการที่ตอบรับความต้องการครอบคลุมกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 11 โครงการ มูลค่า 35,100 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายรวมสำหรับคอนโดมิเนียมในปี 2559 ไว้ประมาณ 28,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 58 ซึ่งมียอดขาย 17,510 ล้านบาทประมาณ 65% รวมทั้งประมาณการณ์รายได้รวมคอนโดมิเนียมไว้ที่ 20,000 ล้านบาท
ปีที่ผ่านมา บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมคอนโดมิเนียมไว้ที่ 22,000 ล้านบาท ในขณะที่คาดว่าจะสามารถทำรายได้เกินจากเป้าหมายที่วางไว้ เป็นประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นรายได้คอนโดมิเนียมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่แสนสิริเคยทำได้ โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายรวมกับการที่บริษัทเริ่มมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ซึ่งนับเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิริ ทั้งนี้รายได้ที่ดีในปีที่ผ่านมาเติบโตโดดเด่นจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จจากยอดขายคอนโดมิเนียม (พรีเซล) ประมาณ 17,510 ล้านบาท จากความสำเร็จจากการร่วมทุนกับบีทีเอส (BTS) ตามแผนความร่วมมือในระยะ 5 ปีที่แสนสิริและกลุ่มบีทีเอสมีแผนพัฒนาคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชนภายใต้บริษัทร่วมทุนจำนวน 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 100,000 ล้านในช่วง 5 ปีแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ 2 องค์กรที่มีความพร้อมและเสริมสร้างความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน และความสำเร็จจากการขายคอนโดมิเนียมหมดอย่างรวดเร็วในวันเดียวทุกโครงการที่เปิดในปีที่ผ่านมา ทั้งโครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า และโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บีทีเอส (BTS) ในแบรนด์ “เดอะ ไลน์” ทั้ง 3 โครงการ ได้แก่ เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 และ เดอะ ไลน์ ราชเทวี รวมทั้งการที่ลูกค้าให้การตอบรับโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ (Ready to Move in) เป็นอย่างดีต่อเนื่องทำให้รับรู้รายได้ทันทีในปีที่ผ่านมา นายอุทัย กล่าว
สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2559 บริษัทจะมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาในเชิงลึกในจุดเด่นที่บริษัททำได้ดี ทั้งในเรื่องแรก คือการตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนที่บริษัทมองว่ายังมีโอกาส รวมทั้งปูพื้นฐานความน่าเชื่อถือและความเป็นแบรนด์สากลระดับโลกกับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยการสานต่อความ สำเร็จของโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอส ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่องอีกจำนวน 6 โครงการ มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เดอะ โมนูเมนต์” และ “เดอะ ไลน์” เป็นต้น
1. บริษัทจะเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการคอนโดมิเนียมในระดับพรีเมี่ยมของกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งมีความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยเอง ลงทุนหรือเก็บเป็นสินทรัพย์ โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในเซกเมนต์หรือระดับราคาระดับ medium–end และ hi–end เป็นส่วนใหญ่ อาทิ คอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรประมาณ 14% คอนโดมิเนียมระดับราคา100,000 – 200,000 ประมาณ 34% และคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ประมาณถึง 52% ซึ่งบริษัทเชื่อมั่นว่าตลาดระดับบนยังคงมีความต้องการและแข่งขันได้
2. การเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้นนี้จะสอดคล้องกับการรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทมีแผนการเปิดตลาดเพิ่มเติมในประเทศจีน ทั้งใน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเสินเจิ้น จากเดิมที่บริษัทเริ่มเปิดตลาดและประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียอย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน มาแล้ว
3. จะมีการทำการตลาดในระดับInternational เพื่อสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน รวมทั้งโปรโมทโครงการระดับบนแก่ลูกค้าต่างชาติและลูกค้าไทยระดับบนอย่างต่อเนื่องจากที่เริ่มทำมาแล้วในปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนั้น จากการที่บริษัทพยายามจับกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างชาติมากขึ้น การทำ Collaboration กับแบรนด์ระดับโลก เพื่อยกระดับแบรนด์แสนสิริให้เข้าสู่ระดับ International มากยิ่งขึ้นก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะถึงแม้แบรนด์แสนสิริจะแข็งแกร่งมากในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ แต่ต้องยอมรับว่าในระดับต่างประเทศ แสนสิริจะได้เปรียบมากยิ่งขึ้น หากเลือกจับมือกับพันธมิตรระดับโลกที่เหมาะกับแบรนด์แสนสิริในเรื่องต่างๆ อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่างชาติเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขาย 3,500 ล้านบาท
นอกจากนั้นในปีนี้ แสนสิริยังเตรียมเปิดตัว Flagship Project ของแสนสิริบนถนนวิทยุ ซึ่งจะเป็นโครงการที่พรีเมี่ยมที่สุดและราคาต่อตารางเมตรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเป็นคอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในทันที ซึ่งบริษัทเตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้
ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทเตรียมโอน 2 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมถึง 5,100 ล้านบาท ได้แก่ “ฮาสุ เฮาส์” คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท แวดล้อมด้วยธรรมชาติ มีความเป็นส่วนตัวสูง จำนวน 310 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 80% และโครงการ “เดอะเบส เซ็นทรัล – พัทยา”
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพัทยากลาง ศูนย์กลางของกิจกรรมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งการท่องเที่ยว – ช็อปปิ้ง หรือการพักผ่อนริมชายหาด จำนวน 1,112 ยูนิต ที่จะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.นี้ ทั้ง 2 โครงการ และจะทยอยรับรู้รายได้ทันที
นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้แคมเปญ เดอะ กู๊ดไลฟ์ สนับ สนุนมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ ดีคอนโด อ่อนนุช – พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 1.19 ล้านบาท มูลค่าโครงการ700 ล้านบาท ซึ่งเตรียมเปิดขายในวันที่ 27-28 ก.พ.นี้.