กสิกรคาด กนง. คงดอกเบี้ย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด การประชุม กนง. รอบสุดท้ายปี 2558 คงอัตราดอกเบี้ย เชื่อ กนง. จับตา และรอผลการประชุมเฟด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า กนง.น่าจะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมรอบสุดท้ายของปี 2558 ในวันที่ 16 ธ.ค.2558 ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญมาจากเศรษฐกิจไทยเริ่มปรากฏพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้น ประกอบกับ คาดว่า กนง. คงจะเลือกติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ที่ตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมรอบสุดท้ายของปีนี้ในวันที่ 16 ธ.ค.2558 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก ดังนี้
ปัจจัยแรก กนง. น่าจะรอติดตามการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ตลาดคาดว่าเฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 bps. ในการประชุมวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ ก่อนที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินของไทยในระยะข้างหน้าต่อไป จากการที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในรอบนี้ จะเกิดขึ้นก่อนที่เฟดจะเปิดเผยถึงมติในการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ไม่ถึง 12 ชั่วโมง ซึ่ง กนง. คงจะจับตาความผันผวนจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคที่มีต่อตลาดการเงินของไทย ทั้งในช่วงก่อน และหลังการประชุมเฟด
ทั้งนี้จุดสนใจคงจะอยู่ที่แถลงการณ์หลังการประชุม และตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯของเฟดที่จะรายงานหลังการประชุม (อาทิเช่น จีดีพี อัตราการว่างงาน PCE Inflation และ core PCE inflation) เพื่อประกอบการประเมินทิศทางของการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าต่อไป
และคาดว่า หากในรอบนี้เฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ รวมถึงการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอย่างค่อยเป็นค่อยไปแล้วนั้น ก็คงไม่น่าที่จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย และภาวะเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ในระดับที่รุนแรงมากนัก
ปัจจัยที่สอง พัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา เริ่มปรากฏสัญญาณในเชิงบวกมากขึ้น ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ขยายตัว 2.9% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และขยับขึ้นเล็กน้อยจากอัตราการเติบโตที่ 2.8% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1.0% โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการลงทุนภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกบริการ ทั้งนี้หากพิจารณาถึงเครื่องชี้เศรษฐกิจของไทยในเดือนต.ค. จะพบว่า เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว เป็นเวลา 2 เดือนติดต่อกัน แม้ว่าเมื่อเทียบจะปรับตัวลดลง ขณะที่องค์ประกอบเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหลายตัวก็เริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังจากที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ด้วยภาพรวมของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะยังคงสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสไว้ได้อย่างต่อเนื่อง และน่าจะสามารถจบสิ้นปี 2558 ได้ที่ 2.8% คงเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบัน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินไว้ในสถานการณ์ที่จำเป็น
ปัจจัยที่สาม ระดับการออมในประเทศของไทยซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ กนง. พิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันมากกว่าที่จะดำเนินนโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม ดังจะเห็นได้จากการแสดงความกังวลต่อประเด็นดังกล่าวของผู้บริการระดับสูงของ ธปท. ในระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้คงต้องยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ แม้จะเป็นการเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่อีกนัยหนึ่งย่อมส่งผลให้แรงจูงใจทางด้านการออมลดลง โดยระดับการออมในประเทศ (ทั้งในมิติการออมต่อจีดีพี และการออมต่อรายได้สุทธิส่วนบุคคล) มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจนำไปสู่ปัญหาเชิงเสถียรภาพในระยะกลาง – ยาวได้
เมื่อมองต่อภาพไปถึงทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินในปีหน้านั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในส่วนของประเด็นเศรษฐกิจในประเทศนั้น หากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ทยอยมีความชัดเจนมากขึ้นตามที่คาดไว้ได้ โดยได้รับอานิสงส์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ตลอดจนผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ทยอยออกมา และนโยบายเร่งผลักดันการลงทุนต่างๆ (อาทิเช่น มาตรการ PPP Fast track การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุน) ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนกิจกรรมในภาคเอกชนตามมา ซึ่งอาจจะช่วยให้ กนง. ยังคงสามารถที่จะประคองอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบันอย่างต่อเนื่องได้
อย่างไรก็ดีคงต้องยอมรับว่า ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตยังคงเต็มไปด้วยปัจจัยท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออก ขณะที่ปัญหาอื่นๆ ที่กดดันการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนซึ่งมีแนวโน้มขยับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับภัยแล้ง ที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตภาคการเกษตรอันจะส่งผลต่อรายได้เกษตรกร รวมทั้งการบริโภคในภาครวม
ในขณะที่ความเสี่ยงในประเด็นการไหลออกของเงินทุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยซึ่งทยอยปรับลดลง คงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ กนง. ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในปีหน้า ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อาจจะทำให้เกิดภาพเงินทุนไหลออกจากตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งไทย ซึ่งผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคงขึ้นอยู่กับจังหวะ และขนาดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต รวมถึง ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยการไหลออกของเงินทุนอาจจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้น มีผลให้ค่าเงิน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทยอยอ่อนค่าลง และส่งผลกระทบผ่านไปยังต้นทุนทางการเงินของไทยในปีหน้าได้ในท้ายที่สุด