ยอดประกันชีวิตพุ่ง 4.61%
สมาคมประกันชีวิตไทยเผย 9 เดือน เบี้ยประกันชีวิตรับรวมเกือบ 4 แสนล้าน โต 4.61% คาดโค้งสุดท้ายยังโตต่อเนื่อง
เบี้ยประกันชีวิตรับรวม ณ สิ้นไตรมาสสาม ปี 2558 (ม.ค.-ก.ย.) มีทั้งสิ้น 390,903 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน 4.61% โดยแยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 122,718 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 5.88 และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 268,185 ล้านบาท โดยมีอัตราความคงอยู่ 83% หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 10.23% ในขณะที่การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิตยังคงครองอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 49.24% ของเบี้ยประกันชีวิตรับทั้งหมด รองลงมาเป็นการขายผ่านธนาคาร สัดส่วน 43.95%
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า สถิติเบี้ยประกันชีวิตรับ และสถิติแยกตามช่องทางการจำหน่าย 9 เดือนของปี 2558 ตั้งแต่ม.ค.-ก.ย.2558 ที่สมาคมประกันชีวิตไทยรวบรวมได้ในขณะนี้ มีดังนี้
1. เบี้ยประกันชีวิตรับรวม มีทั้งสิ้น 390,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 4.61 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมสูงสุด หรือมีขนาดใหญ่สูงสุด 7 อันดับแรก คือ
2. เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ จะพิจารณาจากจำนวนเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรกรวมกับเบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียว ในรอบ 9 เดือน มีทั้งสิ้น 122,718 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกัน 5.88% บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่สูงสุด หรือมีการขยายงานสูงสุด 7 อันดับแรก คือ3. เบี้ยประกันชีวิตที่ขายผ่านช่องทางการจำหน่าย มีดังนี้
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า อัตราการเติบโตในช่วง 9 เดือนแรกเป็นอัตราการเติบโตที่มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ทั้งในส่วนของเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ และเบี้ยประกันชีวิตรับรวม
“ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2558 คาดว่าเบี้ยประกันชีวิตจะยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตที่ไม่ก้าวกระโดดก็ตาม ทั้งนี้เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตามทางภาครัฐยังคงมีนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรมประกันชีวิตสามารถเติบโตต่อไปได้”
สำหรับผู้มีเงินได้ที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี สามารถวางแผนทางการเงินเพื่อหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของภาครัฐ การซื้อประกันชีวิตก็เป็นหนึ่งในช่องทางที่ทำให้ผู้เสียภาษีมีสิทธิได้รับการหักลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครองภัยตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรได้สูงสุดถึง 100,000 บาท และเบี้ยประกันชีวิตสำหรับกรมธรรม์แบบบำนาญ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท แต่ต้องไม่เกินอัตรา 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในปีนั้น ซึ่งประกันชีวิตแบบบำนาญนี้เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกอง ทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้ว (RMF) ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร