“สมคิด” ขุดของเก่าฟื้นเศรษฐกิจไทย

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา นายสมคิด จตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมกระทรวงการคลัง เพื่อมอบนโยบายเรื่อง “การปฎิรูประบบราชการ” โดยตั้งเป้าหมายให้กระทรวงการคลังต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเป็นหน่วยงานแรก ซึ่งก็ต่างไปจากมาตรการเก่าๆ ที่เคยใช้สมัยที่เป็น รมว.คลัง ในรัฐบาล “ทักษิณ”
ทั้งนี้การปฏิรูปการคลัง ที่รองนายกรัฐฒมนตรีเสนอให้กระทรวงการคลังเปลี่ยนแปลงมีทั้งหมด 6 เรื่อง ประกอบด้วย
1. การปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ และสร้างความเป็นธรรม
2. การอำนวยความสะดวกการลงทุน การทำธุรกิจ และบริการของประชาชน
3. การปฏิรูปตลาดเงิน และตลาดทุนให้มีมาตรฐาน และเชื่อโยงตลาดหุ้นไทยกับประเทศต่างๆ
4. การคลังเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการแข่งขัน
5. การปฏิรูปภารกิจในกระทรวง ซึ่งประกอบด้วยระบบงาน และข้อมูลของกรมบัญชีกลาง การเปิดเผยข้อมูลของกรมภาษีคือ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร และการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจของกระทรวงการคลังคือ สถาบันการ เงินเฉพาะกิจ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
และ 6. การคลังเพื่อสังคม เพื่อเปิดให้ทางให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนในกิจการเพื่อสังคมโดยไม่มีภาระภาษี
นายสมคิด ย้ำว่า “จากนี้ไป จะไม่มีมาตรการระยะสั้นออกมาอีกแล้ว หากไม่จำเป็น”การปฏิรูปการคลังถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ เพราะที่ผ่านมา การถูกลดเกรดจากธนาคารโลก ในเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี 2559 หรือ Doing Business 2016 3 ขั้น จากเดิมอยู่ลำดับ 46 มาเป็นลำดับที่ 49 ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาล โดยเฉพาะนายสมคิด โดยระบุว่า ประเด็นที่ไทยถูกลดเกรดจะต้องได้แก่ให้เสร็จภายใน 3 เดือน หรือไม่เกินสิ้นปีนี้ เพื่อปีหน้าจะได้ลุยกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“การปฏิรูปกระทรวงการคลังต้องเดินหน้าต่อไป แม้ว่า เกือบทั้งหมดจะเป็นเรื่องเก่า เพราะเมื่อผมพ้นจากการเมืองทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม” นายสมคิด กล่าว
“กองทุนนวัตกรรม” คือ เรื่องเก่าที่เคยพูดไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และในครั้งนี้ ก็ปัดฝุ่นขึ้นมาใหม่ เพราะมาตรการภาษีของบีโอไอในบางเรื่องไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป โดยกองทุนนี้จะร่วมลงทุนกับนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศที่มีการลงทุนทางด้าน นวัตกรรม เช่น หุ่นยนต์ เป็นต้น โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด