คลังบีบเอกชนผุดบ้านเพื่อคนจน
คลังลุยทำบ้านคนจนที่มีรายได้ 10,000-15,000 บาท ผ่อนบ้านไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท โยนให้เอกชนทำโครงการ “Social Enterprise” หลังจากรัฐบาลออกมาตรการอุ้มอสังหาริมทรัพย์
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ต้องการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนจน หรือคนที่มีรายได้น้อยประมาณเดือนละ 10,000-15,000 บาท โดยกระทรวงการคลังได้เชิญภาคเอกชนอสังหาริมทรัพย์ ที่ดำเนินโครงการกิจกรรมเพื่อสังคม หรือซีเอสอารอยู่แล้ว ให้มาช่วยทำโครงการนี้ ซึ่งดีกว่า ต่างคนต่างทำซีเอสอาร์ส เช่น สร้างโรงเรียน หรือสร้างวัด โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะได้รับการช่วยทางภาษี ซึ่งล่าสุด กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการพิจารณา “Social Enterprise” หากมีการลงทุนในซีเอสอาร์จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 20%
สำหรับหลักการของเรื่องนี้กระทรวงการคลังจะเป็นผู้จัดหาที่ดินเพื่อดำเนินโครงการ ซึ่งอาจจะเป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ หรือที่ดินการการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีสัญญาการเช่าระยะยาวไม่ได้ซื้อขาดเหมือนการซื้อขายบ้านทั่วไปโดยได้ตั้งโจทย์ให้กรมธนารักษ์ไปสำรวจที่ราชพัสดุที่ในอยู่เขตเมืองหรือหัวเมืองในต่างจังหวัดเพื่อดำเนินโครงการนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง และการใช้ชีวิต ไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในป่า หรืออยู่ห่างไกลความเจริญ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 ต.ค.58 กระทรวงการคลัง โดยนายอภิศักดิ์ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยมีแกนนำคือ สมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบ และก่อสร้าง สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมอาคารชุดไทย มารับประทานอาหารเที่ยงที่กระทรวงการคลัง เพื่อส่งสัญญาณว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว และรัฐบาลก็ต้องการความช่วยเหลือจากภาคเอกชนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ รมว.คลัง ได้ตั้งโจทย์ของโครงการบ้านคนจนว่า ใช้ที่ดินของรัฐบาลในการดำเนินโครงการ ราคาบ้านต้องอยู่ประมาณ 500,000-600,000 บาท สามารถผ่อนส่งได้ประมาณเดือนละ 3,000-4,000 บาท และดำเนินโครงการในลักษณะกิจการเพื่อสังคม “Social Enterprise” โดยไม่ให้มีภาระภาษี โดยได้ให้ระยะเวลาผู้ประกอบการ 1 เดือนไปศึกษาโครงการการให้แล้วเสร็จ และนำกลับเข้ามาเสนอที่ประชุมอีกครั้ง ก่อนที่จะออกเป็นมาตรการต่อไป
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ผู้จัดการบริษัท พฤกษา เรียวเอสเตทในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ดีใจมากที่รัฐบาลได้เข้าช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะยอดขายบ้านในปีนี้ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจากเดิมคาดว่า ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5% แต่หลังจากที่มาตรการดังกล่าวออกไปแล้ว คาดว่าในปีนี้จะมียอดขาย 330,000 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน และปีหน้า จากเดิมคาดว่า ยอดขายจะอยู่ที่ 0-5% ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5-10% เนื่องจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ได้ส่งผลให้ประชาชนตัดสินใจซื้อบ้านได้เร็วขึ้น และขณะนี้สถาบันการเงินเอกชนก็ได้เตรียมที่จะออกโปรโมชั่นตามธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว