ยอดหนี้เอฟไอดีเอฟลดต่ำกว่า 1 ล้านล้าน
สบน. เผยยอดหนี้ FIDF ณ สิ้นปีงบประมาณ 2558 ลดระดับลงต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทแล้ว โดยมียอดหนี้เหลือ 9.98 แสนล้านบาท นับจากกว่า 10 ปีก่อนที่มีต้นเงินกู้ถึง 1.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ภาระดอกเบี้ยจ่ายอยู่ในระดับสูงกว่า 8 แสนล้าน
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สิ้นปีงบประมาณ 2558 ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ภาระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยในเดือนก.ย.หนี้ของเอฟไอดีเอฟอยู่ที่ 998,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้เอฟไอดีเอฟ 1 จำนวน 403,000 ล้านบาท และหนี้เอฟไอดีเอฟ3 จำนวน 595,000 ล้านบาท ทั้งนี้นับตั้งแต่ประเทศไทยเกินวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เอฟไอดีเอฟ ได้สร้างภาระหนี้เอาไว้จำนวนมหาศาลประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท และตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา หนี้ก้อนดังกล่าวไม่เกินลดลงต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านบาท
แต่ภายหลังจากที่รัฐบาลรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรมว.คลังได้ออกพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 มีผลบังคับใช้ โดยกฎหมายดังกล่าวเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.55 จนถึงวันที่ 30 ก.ย.58 โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หักเงินจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งเป็นเงินฝากของสถาบันการเงินทั้งระบบจำนวน 0.46% มาใช้หนี้เอฟไอดีเอฟทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย จึงทำให้ยอดหนี้ดังกล่าวลดลงมาอย่างต่อเนื่อ
ทั้งนี้ภายใต้พระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงิน และจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 (เอฟไอดีเอฟ1) และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน และจัดการเงินกู้เพื่อช่วย เหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ.2545 (เอฟไอดีเอฟ3) ไปแล้วทั้งสิ้น 270,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ต้นเงิน 134,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม 136,000 ล้านบาท ขณะที่ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของเอฟไอดีเอฟตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี มีจำนวนมากกว่า 800,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามนายสุวิชญ กล่าวว่า แผนการชำระหนี้เอฟไอดีเอฟในปีงบประมาณ 59 นั้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนจะชำระหนี้เงินต้นในจำนวนที่มากขึ้น เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง โดยมีกลยุทธ์ผ่านการขายหุ้น และสินทรัพย์ที่มีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เอฟไอดีเอฟอาจขายหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารกรุงไทยก็ได้แต่ก็ต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วย