“วรภัค” สยบข่าวลือ กัดฟันลาออก จาก รมช.คลัง
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรณีข่าวบิดเบือนไล่ร้ายป้ายสี พาดพิงว่ามีความเกี่ยวโยงกับสแกมเมอร์กัมพู (Carmbodian scammers) การฟอกเงินและธุรกิจ ผิดกฎหมาย ขอชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาเรื่องควานเกี่ยวข้องกับขบวนการ หลอกลวต้มตุ่นหรือที่เรียกว่าสแกมเมอร์ ในประเทศกัมพูชานั้น ตนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ่นหรือธุรกิจผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศไทยและต่างประเทศ
“ส่วนตัวที่เคยพบกับผู้บริหารของ BIC Bank ที่เป็นประธานกรรมการของคารนี้ ชื่อ Mr.Leak Yim แต่กระผมไม่เคย เป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใด ๆ ของ BIC Bank Cambodia และไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งการที่มีการนำรูปของกระผมและชื่อไปลงเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้น ผมไม่เคยรับทราบมาก่อน”
นายวรภัค กล่าวว่า ส่วน Mr. Benjamin Mauerberger และตนได้รู้จักกับ Mr. Benjamin เพราะลูกเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันในประเทศไทย แต่ไม่เคยทราบลึก ๆ ว่า Mr. Benjarnin ประกอบธุรกิจอย่างไร หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับ Mr. Leak Yim เพราะกระผมกับ Mr. Benjamin เป็นผู้ปกครองนักเรียนวัยเดียวกัน ชั้นเดียวกัน โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น
ขณะที่ ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นตัวแทนนอมินีเชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (Finansia Syrus : FSS) ผ่าน Pilgrim Finansa นั้นในปี พ.ศ. 2564 ตนได้เข้าซื้อหุ้น 29% ของ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) เป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกประการ ซึ่งเป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out
“ผมและคุณช่วงชัยเห็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาเหมาะสมเพื่อมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทเติบโตและมีกำไรสูงขึ้นเพื่อราคาหุ้นที่ดีขึ้น ในอนาคตและมีผู้สนับสนุนทางการเงิน อาทิ ธนาคารหรือกองทุนที่มองเห็นว่า หุ้นที่ซื้อมาราคาไม่แพงและมีโอกาสเติบโภตได้ในอนาคตคุ้มกับความเสี่ยงในการสนับสนุนทางการเงิน”
สำหรับธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นี้เป็นเรื่องปกติถ้าธนาคารหรือผู้กู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นำมาเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น 29% ที่ตนและคุณช่วงชัย ซื้อมา ถือว่าเป็น controlling stake ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share) ขณะนั้นเป็นอันดับสองของประเทศไทย
รวมทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ที่เป็นวานิชธนกิจอันดับต้นของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ผมและคุณช่วงชัย (CEO) ซื้อหุ้นผ่านบริษัท Plgim Finansa โดยตนถือหุ้นในสัดส่วน 60% และคุณช่วงชัย ถือหุ้นในสัดส่วน 40 และทำ Mandatory Tender Offer ตามกฎหมาย
นายวรภัค กล่าวว่า ในการซื้อหุ้นในครั้งนั้น กรรมได้รับวงเงินสนับสนุน สองส่วน คือ ส่วนที่ขึ้นและส่วนที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) แบ่งเป็นส่วนแรกเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment (CAI เป็นบริษัทจัดการกองทุน ภายใต้การกำกับดูแลของ MAS ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล Singapore) และส่วนที่สอง จาก BIC Bank Lao (ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ “Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd.” และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว) เพื่อเตรียมการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ทั้งนี้ วงเงินจาก BIC Laos เป็น standby facility เพื่อทำ tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้ BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีต ถึงที่ชื่อคล้ายกันนั้นตนไม่ทราบ ทั้งนี้ความเป็นเจ้าของและการบริหารจีดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้วเป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชาถือทุนใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdins 99% และ Mir. Yim Leak 1%
อย่างไรก็ดี ผมและคุณช่วงชัย เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ฟิมันเซีย ในปี พ.ศ. 2564 กระผมและคุณช่วงชัยได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัทโดยจ้าง McKinsey & Co. เป็นที่ปรึกษาเพื่อทำ Dital Tonformation พัฒนาให้องค์กรดิจิทัล แต่การปรับปรุงองค์กรไม่เร็วอย่างที่ตนคาดจนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2567 ตนได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับคุณช่วงชัย หุ้นส่วนเดิมของกระผม และสาออก จากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท หลังจากนั้นตนไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ ในการถือหุ้นหรือในการบริหาร บริษัท ฟินันเซีย อีก
“ส่วนคุณช่วงชัย ขายหุ้นให้ใครหรือมีการเพิ่มทุนอีกหรือไม่ ผมเองก็ไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งการที่บุคคลใดจะนำชื่อของผมในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง ดังนั้นการคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่ากระผมเป็นนอมินี หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการสแกมเมอร์ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกระผมล่าสุด ยังได้เห็นเกริม ใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จภรรยาของตน ว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโทเคเรนซี่จำนวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งยืนยันไม่เป็นความจริง
“จากสถานการณ์ที่ผมถูกใส่ร้ายป้ายสี ด้วยข้อมูลเท็จผมต้องเวลาเยอะในการดำเนินคดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการคลัง ให้บรรลุผลนั้น ผมก็ไตร่ตรองอยู่นาน เลยเปิดใจว่า ผมจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้เรื่องส่วนตัวของผมเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่อาจกระทบต่อความคล่องตัวและประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล การตัดสินใจครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญอยู่บนหลักความโปร่งใส่ และรักษาความอิสระของรัฐบาลในการบริหารประเทศให้ปราศจากข้อครหา ผมยังยืนยันนความบริสุทธิ์ของตัวเองและจะใช้เวลาไปฟ้องร้องผู้ที่นำเสนอข้อมูลเท็จ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “อนุทิน” สั่งยกเลิกการอนุญาตเล่นพนัน “โป๊กเกอร์” ทั่วประเทศ


