สทนช. พร้อมรับมือพายุ “บัวลอย” ปลายเดือนนี้

สทนช. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งให้กลับสู่อัตราปกติ หลังอิทธิพลพายุ “รากาซา” เริ่มคลี่คลาย เพื่อเตรียมรองรับอิทธิพลพายุ “บัวลอย” ที่คาดว่าจะทำให้ฝนตกหนักอีกระลอกช่วงปลายเดือนนี้
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยรองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในช่วงที่ผ่านมา สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำเพื่อลดผลกระทบจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น “รากาซา” ซึ่งส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยมีการปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำจำนวนมากไหลมาสมทบยังเขื่อนเจ้าพระยา ที่ขณะนั้นยังคงมีปริมาณน้ำมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย โดยสามารถรักษาระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ที่ 15.33 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และปรับลดการระบายน้ำของเขื่อนลงได้ จาก 2,200 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เหลือ 2,100 ลบ.ม. ต่อวินาที ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุโซนร้อน “บัวลอย” ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ และกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศเวียดนาม อาจส่งอิทธิพลทางอ้อมให้ช่วงปลายเดือนนี้มีฝนตกหนักในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย ซึ่งรวมถึงพื้นที่เหนือเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล ที่ประชุมจึงได้หารือให้ทยอยเพิ่มอัตราการระบายน้ำของเขื่อนที่ได้ปรับลดลงก่อนหน้านี้ ให้กลับสู่อัตราปกติ โดยมีมติเห็นชอบเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดของเขื่อนสิริกิติ์ จาก 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และเขื่อนภูมิพล จาก 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างรองรับน้ำและรักษาความมั่นคงของเขื่อน

ขณะเดียวกัน เขื่อนอุบลรัตน์ได้ทยอยเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ได้ปรับเพิ่มถึงอัตรา 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และจะคงอัตราดังกล่าวต่อไปในระยะนี้ ซึ่งคณะกรรมการลุ่มน้ำชีได้มีการประชุมวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบ
ด้านท้ายน้ำ บริเวณจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และยโสธร ไว้ล่วงหน้าแล้ว สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่มีแนวโน้มปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นใกล้เต็มระดับเก็บกักภายในต้นเดือนตุลาคม ยังจำเป็นต้องคงอัตราการระบายน้ำไว้ที่ ประมาณ 51.84 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน นอกจากนี้ ยังคงมีการติดตามสถานการณ์ฝนเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด พร้อมเพิ่มการระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อน เพื่อลดระดับน้ำในบางพื้นที่ของจังหวัดชัยนาท และอุทัยธานี รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่ดูแลและให้ความช่วยเหลือพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านท้ายน้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอ่างทองอย่างต่อเนื่อง จนกว่าระดับน้ำจะกลับสู่ภาวะปกติ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำเรื่องการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ริมน้ำ พื้นที่ลาดเชิงเขา และภูเขา เพื่อรับมือกับฝนตกหนักช่วงปลายเดือนนี้ โดย สทนช. ได้ประสานการดำเนินงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อสนับสนุนชุดข้อมูลและเครื่องมือให้ท้องถิ่นและประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สทนช. เตือนเฝ้าระวังน้ำหลาก–ท่วมขัง แม่น้ำโขง-เจ้าพระยาน้ำสูง