คลังทุ่ม 5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 500,000 ล้านบาท ในเร็วๆ นี้ เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากประเมินแล้วว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ลง 1% เหลือ 2% ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ คาดว่า จีดีพีไทยปีนี้ จะลดลงเหลือ 1.8% เท่านั้น
นายพิชัย กล่าวว่า การรักษาระดับจีดีพี ให้มีอัตราการเติบโตที่ระดับ 3% มีวัตถุประสงค์ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการที่รุนแรงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และยังลดผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้าอีกด้วย โดยเม็ดเงิน 500,000 ล้านบาท จะเป็นโครงการที่เน้นการลงทุน และการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่โครงการลงทุนเพื่อสนับสนุนการส่งออก เนื่องจากในปีนี้ การส่งออกคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างทั่วหน้า
“มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการหารือในช่วงนี้ เน้นไปในเรื่องการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังรวบรวมมาตรการและศึกษาเพิ่มเติม โดยหนึ่งในหลายๆ มาตรการมีมาตรการคนละครึ่งรวมอยู่ด้วย แต่ยังบอกไม่ได้ว่า จะมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง”
สำหรับที่มาของแหล่งเงิน 500,000 ล้านบาท กำลังพิจารณาว่า มาจากส่วนใดได้บ้าง เพราะขณะนี้ รัฐบาลมีมาตการดิจิทัล วอลเล็ต ที่กำลังออกมาในไตรมาส 2 อายุ 16 ปี ไม่เกิน 21 ปี โดยเม็ดเงินในโครงการนี้ ตั้งงบประมาณเอาไว้ทั้งหมด 150,000 ล้านบาท จึงต้องมาทบทวนว่า รัฐบาลควรดำเนินโครงการใดก่อนหลัง เพราะงบประมาณมีอยู่อย่างจำกัด

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังกำลังวางแผนโครงการต่าง ในวงเงิน 500,000 ล้านบาท โดยสามารถดึงแหล่งเงินได้จากที่ เช่น การเกลี่ยงงบลงทุนในงบประมาณรายจ่ายปี2568 และการปรับเปลี่ยนโครงการในงบประมาณปี2569 ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณในสภาฯ รวมถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณ ที่มาจากการปล่อยกู้ของธนาคารเฉพาะกิจ ก็สามารถออกแบบให้มีความเหมะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ได้
“ตอนนี้ ยังบอกไม่ได้ว่า จะดำเนินโครงการอะไรบ้าง เพราะการขึ้นภาษีของทางสหรัฐฯ เองก็ยังไม่จบ ยังไม่นิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เราก็ต้องเตรียมความพร้อมซึ่งมีทั้งมาตรการระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยมีเป้าหมายคือ การเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน ซึ่งคาดว่า เดือนพ.ค.นี้ จะมีความชัดเจนทั้งหมด”
นายลวรณ กล่าวว่า ไม่ต้องห่วงถ้ารัฐบาลจะกู้เงินเกินเพดานวินัยการเงินการคลัง ปัจจุบันกำหนดไม่เกิน 70% ของจีดีพี โดยในเดือนมี.ค. หนี้สาธารณะต่อจีดีพี อยู่ที่ 64% หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้เงิน 500,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.30% ของจีดีพี ก็ไม่ยังเกิน 70% ที่สำคัญ เงินที่ใช้ในการโครงการเป็นมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาระดับจีดีพีและนำไปสู่การรักษาความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการชำระหนี้ จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “พิชัย” เผย จีดีพีไทยทรุด 1% ภาษีทรัมป์แผลงฤทธิ์