คลังชงครม.ฟื้นช้อปดีมีคืน
คลัง พร้อมเข็นโครงการช้อปดีคืน หรือ easy e-receipt เข้า ครม.สัปดาห์หน้า เริ่มใช้จ่ายจริงเดือนม.ค.เป็นของขวัญปีใหม่ คนมีรายได้สูง พร้อมติงแบงก์ชาติ ดันเงินเฟ้อที่ให้สูงขึ้นตามกรอบเป้าหมายที่ตกลงกันไว้ 1-3% ไม่ใช่ 0.4% ปีนี้ หรือรอปีหน้าเงินเฟ้อแตะ 1% “พิชัย” สวนอีกหมัด!! เงินบาทควรอ่อนกว่านี้
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า กรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% โดยมองว่าขณะนี้ประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะ สม โดยคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของปีนี้ จะอยู่ที่ 0.4 % และปีหน้าจะอยู่ที่ 1.1% นั้น ตนเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อดังกล่าว ยังอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป และอยากเห็นอัตราเงินเฟ้ออยู่ตรงกลาง ของเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดที่ 2% จากกรอบที่วางไว้ระหว่าง 1-3%
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังเตรียมที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ดำเนินมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการ easy e-receipt หรือ มาตรการมาตรการช้อปดีมีคืน จริงสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท โดยนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยมาตรการนี้ จะเริ่มใช้ได้ในเดือนม.ค.หน้า
“ผมเห็นว่า ค่าเงินบาทสามารถอ่อนลงได้มากกว่าในปัจจุบัน ซึ่งมีนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ค่าเงินบาทของไทยในขณะนี้ ยังสามารถอ่อนลงได้อีก” นายพิชัย กล่าวและกล่าวว่า
การที่จะดูว่า ค่าเงินของไทยสามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นๆ หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาก การส่งออกของสินค้า ไทย ที่ส่งไปขายในตลาดใดของโลก และคู่แข่งขันของไทยในตลาดนั้นๆ มีการใช้มาตรการอะไรบ้างในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของตนเอง ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ก็ต้องพิจารณาในระยะยาว และการวิวัฒนาการของมันด้วย
ส่วนเรื่อง Virtual bank ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น รัฐบาลอยู่ในระหว่างการอนุมัติให้สามารถเปิดดำเนินการได้ในประเทศไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่ไม่จำเป็นต้องมีสาขา แต่สามารถให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนได้ โดยอัตราดอกเบี้ย จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย ไม่จำเป็นต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยเดียวใช้กับทุกคน
“เศรษฐกิจดิจิทัลยังทำให้ระบบการเงินมีการไหลเวียนดีขึ้น ไม่ถูกขังไว้ เช่น ในปัจจุบันการซื้อขายพันธบัตรของทั้งรัฐและเอกชน จะต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อ ดังนั้น ผู้ซื้อส่วนใหญ่จึงเป็นรายใหญ่ แต่ในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล คนซื้อคือ รายย่อยและสามารถเข้ามาซื้อได้มากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อ 1 หน่วย แต่อาจซื้อแค่ 0.001 หน่วยก็ได้”
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยใน ขณะนี้ว่า คาดว่าในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4% ทำให้ทั้งปีนี้จีดีพีไทยอาจขยายตัวได้ 2.7-2.8% สูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ที่ขยายตัวเพียง 1.9% และในปีหน้า คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3% ถึง 3.5%โดยได้รับการผลักดันจากภาคท่อง เที่ยว ที่คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในปีหน้า 39.9 ล้านคน สูงกว่าปีนี้ ที่คาดว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 36 ล้านคน รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการบริโภคที่สูงขึ้นด้วย และภาคส่งออกที่ขยายตัว
นอกจากนั้นในปีหน้า เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุน โดยเฉพาะที่เข้ามาผ่านช่องทางสำนักงานคณะ กรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ซึ่งบริษัทที่ขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในวันนี้ จะมีการใช้เงินลงในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนั้น ตนก็จำพยายามแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใน เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ด้วย
“เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว เม็ดเงินที่เคยเป็นสภาพคล่อง ก็จะไหลออกเพื่อนำไปลงทุน ซึ่งผมมองว่า ขณะนี้เราอยู่ท่ามกลางความหวังที่มองเห็นชัดขึ้น” นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรมสรรพากร ไขปริศนา 35 คำถาม-ตอบ “ช้อปดีมีคืน”