หอการค้าไทย-จีน แนะรัฐหนุนส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น หอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 4/2567 การค้าโดยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นโอกาสที่ดีต่อการขยายการส่งออกไทย เล็งเห็นว่า รัฐบาลควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการจีน ร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประจำไตรมาสที่สี่ ปี 2567 ระหว่างวันที่ 15 ถึง 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยผู้ตอบการสำรวจประกอบด้วย ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และกรรมการหอการค้าไทยจีน ผู้บริหารและกรรมการสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีนอีก เป็นจำนวนทั้งหมด 485 คน ที่ตอบแบบสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าว
คำถามในครั้งนี้มีสองส่วนด้วยกัน ในส่วนแรกเกี่ยวข้องกับการค้าผ่านสื่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และในส่วนที่สองเป็นคำถามที่เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าของไทย โอกาสความร่วมมือกับจีน และข้อเสนอแนะต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อกลางสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าขายระหว่างผู้ค้าและลูกค้า และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย 43% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คิดว่า การค้าด้วยพาณิชอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่เป็นโอกาสต่อการส่งออกของสินค้าไทย ที่การค้าระหว่างประเทศยังไม่พึ่งพาระบบพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์เพราะสินค้าไทยที่ส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม และยังอาจจะเป็นเพราะสินค้าไทยอีกส่วนมาจากการรับจ้างผลิตที่มีคู่ค้าต่างประเทศอยู่แล้ว ส่วน 38% ให้ความเห็นว่าการค้าโดยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นโอกาสที่ดีเพราะไทยสามารถพึ่งพาการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของจีนเพื่อการส่งออกได้ เพราะเป็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดได้ทั้งตลาดจีนและตลาดอื่นๆในภูมิภาค
เนื่องด้วยพาณิชอิเล็กทรอนิกส์เติบโตอย่างรวดเร็ว และน่าเป็นโอกาสการทำตลาดของไทยในบางสินค้า 48.5% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เล็งเห็นว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยให้มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการจีนในการพัฒนาโครงสร้างพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ 25% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เสนอข้อคิดเห็นว่ารัฐบาลควรพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้เป็นเจ้าของเครือข่ายพาณิชอิเล็กทรอนิกส์ของตัวเอง
ในส่วนของการนำเข้านั้น การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม Temu ที่เป็นข่าวนั้น พอจะสรุปได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถาม มีจำนวนถึง 85% ที่เคยได้ยิน Temu (1) จำนวน 39% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ที่เคยสั่งซื้อไปแล้ว โดยแบ่งเป็น 24% ของผู้ตอบแบบสอบถามและครอบครัว เคยสั่งซื้อแล้วและมีความประทับใจทั้งราคาและคุณภาพ แต่ก็มีร้อยละ 15 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่าได้สั่งซื้อแต่ไม่ประทับใจในคุณภาพ (2) อีกส่วนหนึ่ง 46% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ได้รับทราบเรื่องการซื้อสินค้าผ่าน Temu แต่ยังไม่เคยสั่งซื้อ แบ่งเป็น 32% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้ยินเรื่องการค้าผ่าน Temu แต่ยังไม่คิดจะสั่งซื้อ และ 14% เคยได้ยินและคาดว่ากำลังจะสั่งซื้อ (3) มีเพียงส่วนน้อย 15% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เคยได้ยินการค้าผ่านเครือข่าย Temu
ในภาพรวมแล้วสรุปได้ว่า การค้าด้วยพาณิชอิเล็กทรอนิกส์มีความสำคัญสำหรับผู้ค้าชาวไทย และในระยะสั้นความร่วมมือใกล้ชิดกับจีนน่าจะผลักดันการค้าของไทยในตลาดโลกได้ นอกจากนั้นผู้ประกอบการไทยที่เป็นรายย่อยยังสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางพาณิชอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้ในระดับมณฑล ส่วนการรุกของจีนด้วย Temu นั้น ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังการทุ่มตลาด
การคาดการณ์ การประกอบธุรกิจของไทยในประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 29.8% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าผลประกอบการของธุรกิจที่ค้าขายในประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะชะลอตัวลง ขณะที่ 25% คาดว่าจะดีขึ้น แต่เป็นที่น่าสนใจว่า 20.7% ที่ให้ความคิดเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้
ส่วนการคาดการณ์การส่งออกของสินค้าไทยไปยังตลาดโลก ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 27.4% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าผลประกอบการของธุรกิจที่ค้าขายในประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะชะลอตัวลง ขณะที่ 27.2% คาดว่าจะดีขึ้น ซึ่งมีจำนวนผู้ตอบใกล้เคียงกันมากระหว่างชะลอตัวลงและดีขึ้น แต่ยังมี 20.9% ที่ให้ความคิดเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้
แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่คาดว่าธุรกิจที่ค้าขายในประเทศและการส่งออก จะชะลอตัวลงในไตรมาสที่สี่ ของปี 2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ก็มีผู้ตอบแบบสอบถามในจำนวนที่ใกล้เคียงกันคาดว่าผลประกอบการน่าจะดีขึ้น อีกทั้งยังมีอีกส่วนหนึ่งที่กล่าวว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ สรุปได้ว่า ยังไม่สามารถฟันธง ผลประกอบการในไตรมาสที่สี่ในปีนี้โดยเปรียบเทียบกับไตรมาสสี่ปีที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
เมื่อพิจารณาพิจารณาถึงสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่จีนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดโลก คำถามที่สำคัญคือ ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนเพื่อการค้าในตลาดโลกจะทำอย่างไร ผู้ตอบแบบสอบถาม เสนอว่า (1) สนับสนุนให้อาเซียนกับจีนมีความร่วมมือกัน โดยให้ไทยนั้นมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเพราะไทยมีความได้เปรียบทางภูมิภาค (2) ให้ไทยและจีนร่วมมือกันในการลงทุนและผลิต เพื่อมุ่งไปสู่การส่งสินค้าอุตสาหกรรมออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันตก
การค้าโลกในปัจจุบัน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมซับซ้อนและมีมูลค่าเพิ่มสูง ต้องพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตนานาชาติ กล่าวได้ว่าในการผลิตสินค้าหนึ่งต้องพึ่งพาการผลิตในหลายประเทศ ดังนั้นหุ้นส่วนทางการค้าระหว่างไทยและจีน และอาเซียนและจีนที่มีไทยเป็นจุดเชื่อมโยง จะเป็นการสร้างเสริมประโยชน์ร่วมกันหากได้จีนมาเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ดี ทั้งนี้ควรอาศัยความสัมพันธ์ตามกรอบข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนและจีน และกรอบข้อตกลง RCEP จะทำให้ปริมาณการค้าจะเพิ่มพูน (Trade Creation) ทั้งสินค้าทุน สินค้ากึ่งสำเร็จรูป และวัตถุดิบ สรุปได้ว่าทั้งสองประเด็นที่นำเสนอ เป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรมีการบริหารและจัดการอย่างเร่งด่วน
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอีกประเด็นหนึ่งคือการผลักดันสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยเข้าสู่ตลาดจีนด้วยวิธีการเจาะตลาดรายมณฑล โดยเฉพาะมณฑลในภาคกลางและภาคตะวันตกของจีนที่มีกำลังซื้อสูง
ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสจะซบเซานั้น ผู้ตอบแบบสอบถามมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อภาครัฐ โดยให้ความสำคัญของข้อเสนอแนะ 4 ประการ ตามลำดับดังนี้ (1) สนับสนุนให้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อผลิตสินค้าต่างๆ (2) ส่งเสริมให้มีการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพื่อผลิตสินค้าและบริการ และการอำนวยความสะดวกทางการตลาด (3) ส่งเสริมให้มีนวัตกรรมใหม่สำหรับอุตสาหกรรมใหม่และมีการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และ (4) มาตรการลดต้นทุนทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์แก่ผู้ประกอบการ นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว
การค้าระหว่างประเทศไทยและจีน ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 66,148 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.43% มีสัดส่วน 18.68% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย ส่วนการส่งออกของไทยไปยังจีน มีมูลค่า 20,549 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพียง 0.30% และการนำเข้าของไทยจากจีน มีมูลค่า 44,599 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.52% เนื่องจากการนำเข้าสินค้าทุน ขยายตัวที่ 18.34% เช่น (1) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และ (2) เครี่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับประเทศจีน มูลค่า 24,050 ล้านเหรียญสหรัฐ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ประธาน หอการค้าไทย-จีน ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ บนเวทีสหประชาชาติ ณ เมืองเซินเจิ้น