นายกฯ ห่วงเศรษฐกิจโตต่ำ วอน ธปท.ลดดอกเบี้ย
• อ้อนขอลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% หรือหนึ่งสลึง
• สภาพคล่องหดหายเม็ดเงินใหม่ยังไม่เข้าระบบ
• มั่นใจดิจิทัลวอลเล็ตไม่ดันเงินเฟ้อพุ่งแน่นอน
นายกฯ ร่ายยาว หวั่นเศรษฐกิจไทยโตต่ำ วอน ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยช่วยแบ่งเบาภาระประชาชน ยันดิจิทัล วอลเล็ตไม่กระทบเงินเฟ้อ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 66 ขยายตัว 1.7% และทั้งปีขยายตัวได้เพียง 1.9% ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านว่า วันนี้ ต้องยอมรับว่ายังไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบ ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามายังไม่สามารถใช้เงินงบประมาณได้ ทำให้ทุกกระทรวงใช้นโยบายของแต่ละกระทรวงเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น โดยรัฐบาล ได้พยายามดำเนินทุกมาตรการที่สามารถทำได้ ขณะเดียวกัน เห็นว่ามาตรการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่ได้มีการปรับลดลง
“วันนี้ ต้องยอมรับว่าไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย หลายสำนักฯ มีการปรับประมาณการณ์ GDP ลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้พยายามดำเนินการทุกมาตรการที่มีอยู่…ส่วนตัวขอฝากไว้ว่า นโยบายดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้งบประมาณ ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5% หากลดลงเหลือ 2.25% เพียงสลึงเดียว ก็จะช่วยบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชนทุกคนได้ แต่เขาไม่ลดกัน” นายเศรษฐา กล่าว นายกรัฐมนตรี กล่าวและกล่าวว่า
“ได้พูดคุยกับเลขาธิการสภาพัฒน์ และบอกว่ารัฐบาลได้ทำทุกวิถีทางแล้ว รวมถึงได้สอบถามเลขาธิการสภาพัฒน์ว่ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเลขาธิการสภาพัฒน์ระบุว่าได้คุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องลดดอกเบี้ยลง”
“ผมบอกว่า ทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณะชนบ้าง และพูดคุยในภาษาที่ชัดเจน และไม่ว่าจะเป็นเลขาสภาพัฒน์ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ผมก็จบเศรษฐศาสตร์มา ตรงนี้เราไม่ได้มาเอาชนะกัน แต่ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น เพื่อรองบประมาณที่จะคลอดออกมาในเร็วๆ นี้ ผมได้สอบถามกับเลขาธิการสภาพัฒน์ว่า สามารถทำอะไรได้อีก หากมีอะไรที่ทำได้ ก็ขอให้เสนอมา ผมไม่ได้จมปรักอยู่กับการลดดอก เบี้ยอย่างเดียว แต่การลดดอกเบี้ยเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชน คนไทยทุกคน ซึ่งเห็นอยู่แล้วสำหรับตัวเลขที่ออกมา อย่างเช่นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็พยายามที่จะออกมาให้เร็วที่สุด” นายเศรษฐา กล่าว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าการเติมเงินเข้าไปในระบบถึง 500,000 ล้านบาท อาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้นั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อติดลบอยู่แล้ว หากจะบอกว่าติดลบจากการที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการลดราคาน้ำมัน หรือพยุงค่าไฟฟ้า แต่หากถอดมาตรการช่วยเหลือนี้ออกไป เงินเฟ้อก็ยังขึ้นมาไม่ถึง 1% ยังไม่ถึงกรอบล่างด้วยซ้ำ (กรอบเงินเฟ้อ 1-3%)
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลายนโยบายที่รัฐบาลทำ อาจต้องใช้เวลา รวมไปถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วย ซึ่งหากทุกคนเห็นด้วยและพิสูจน์ได้ว่าจะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น ก็จะพยายามทำออกมาให้เร็วที่สุด อยากจะให้เกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคม ส่วนนโยบายอื่นก็พยายามดำเนินการอยู่
“รัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างที่สามารถทำได้ ณ วันนี้ และยินดีรับฟัง ว่าอยากให้รัฐบาลทำอะไร แต่ต้องคำนึงว่างบประมาณสามารถใช้ได้หรือไม่ อย่างเร็วที่สุด 1 เมษายน จากเดิมเดือนพฤษภาคม ซึ่งพยายามเร่งอยู่แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า ขณะนี้มีทั้งคำเสนอแนะจากคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งรัฐบาลต้องรับฟัง และพยายามทำให้อยู่ในกรอบเวลาให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่าขอเวลาในการดูเอกสารข้อเสนอแนะก่อน โดยอยู่ในกรอบ 30 วัน หรืออาจจะเร็วขึ้นได้ 1-2 สัปดาห์