ม.หอการค้าฯ หั่นจีดีพีปี 66 เหลือโต 2.5%
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทย ในปี 2566 ลงเหลือ 2.5% จากที่เคยประเมินไว้ล่าสุดเมื่อเดือนต.ค.66 ที่ระดับ 3%
โดยมีสาเหตุสำคัญจาก GDP ไตรมาส 3/66 ขยายตัวได้เพียง 1.9% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้, จำนวนนักท่องเที่ยวจีน ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด, แรงขับเคลื่อนทางการคลังที่ลดลง จากผลของการที่ยังไม่มี พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จึงทำให้การใช้จ่ายในส่วนของการอุปโภค-บริโภค และการลงทุนภาครัฐยังไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ระดับสินค้าคงคลังยังลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากภาคการผลิตยังไม่มีความมั่นใจว่าถ้าผลิตสินค้าใหม่ๆ ออกมาแล้ว จะสามารถจำหน่ายได้หรือไม่ จึงชะลอการผลิตและนำสินค้าในสต็อกเดิมที่มีอยู่ออกมาจำหน่าย โดยยังไม่ผลิตเพิ่ม
พร้อมคาดการณ์ว่า การส่งออกไทยในปี 66 จะอยู่ที่ -0.9% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 1.3% หนี้ครัวเรือน อยู่ที่ 89.8% ต่อ GDP และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 28 ล้านคน
อย่างไรก็ดี ในปี 66 ยังมีปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เช่น การใช้จ่ายของภาคเอกชน ทั้งการบริโภคและการลงทุนยังเติบโต การส่งออก ในช่วงไตรมาส 4 พลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้
“การบริโภคภาคเอกชน เป็นพระเอกสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 66 และได้การส่งออกที่พลิกกลับมาขยายตัวได้ในช่วงปลายปี” นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ระบุ
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวได้ 3.2% (ยังไม่รวมผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) การส่งออก พลิกกลับมาโต 3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 2% หนี้ครัวเรือน ลดลงมาอยู่ที่ 87.8% ต่อ GDP และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน
โดยปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวอย่างชัดเจนของภาคการท่องเที่ยว, การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวในเกณฑ์ดี, การลงทุนภาคเอกชน ยังฟื้นตัวได้ดี, การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัวเป็นบวก, อัตราเงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัว และรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
GDP ไทยปี 66 ผิดคาด จากหลายปัจจัยกดดัน
นายธนวรรธน์ ยอมรับว่า การประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ผิดคาดไปจากเดิมพอสมควร เนื่องจากมีหลายเหตุการณ์ที่เข้ามาเป็นปัจจัยกดดัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส, การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศหลักๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกซึมตัว, เศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด จึงทำให้ demand ลดลง และมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยด้วย รวมทั้งการที่เพิ่งมีรัฐบาลใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี
“เศรษฐกิจโลกในปี 66 ซึมตัวจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ เรายังมีรัฐบาลรักษาการณ์ (รัฐบาลประยุทธ์) ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้งบลงทุนใหม่ๆ ได้” นายธนวรรธน์ ระบุ
จับตาเศรษฐกิจปี 67 “เสี่ยง ลุ้น ตื่น”
เศรษฐกิจไทยในปี 67 ประกอบด้วย 3 จุดที่ต้องจับตา คือ “เสี่ยง ลุ้น ตื่น”
1. เสี่ยง
เป็นความเสี่ยงของภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ที่จะทำให้เกิดปัญหาสงครามบานปลายในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ยังมีความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน รวมทั้งสหรัฐ-รัสเซีย, ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่มีความชัดเจน, ความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนและปัญหาภัยธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนสถานการณ์การเมืองโลกและการเมืองไทย
2. ลุ้น
ในปี 67 ต้องลุ้นว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทของรัฐบาล จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าเกิดขึ้นได้จริง จะมีส่วนช่วยดัน GDP ให้เพิ่มขึ้นจากกรณีฐานอีก 1-1.3% แต่หากโครงการดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจะมีมาตรการอื่นใดออกมาช่วยชดเชย นอกจากนี้ ต้องลุ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้เร็วและแรงอย่างที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ เพราะหากเฟดลดดอกเบี้ยได้เร็วและแรง จะมีผลช่วยให้เศรษฐกิจโลกไม่ซึมตัวหนัก อีกทั้งจะทำให้ธนาคารกลางอื่นๆ ทยอยปรับลดดอกเบี้ยลงตาม เช่น ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางจีน
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาเสถียรภาพการสหรัฐฯ เพราะจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ในช่วงปลายปี ที่ต้องลุ้นว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลหรือไม่ ขณะที่การเมืองไทยเอง มองว่ายังมีเสถียรภาพ การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 67 น่าจะผ่านไปได้ ขณะที่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล
3. ตื่น
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนานาชาติ โลกจะเปลี่ยนจากนโยบายการเงินการคลังแบบตึงตัวมาเป็นผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากที่เงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะต้องจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และญี่ปุ่น ซึ่งมาตรการที่ออกมานี้ จะสร้างความตื่นเต้น ตื่นตระหนก หรือตื่นกลัวให้กับเศรษฐกิจโลก
แนะรัฐใช้งบกลางให้เกิดประโยชน์สูงสุด หาก “ดิจิทัลวอลเล็ต” แท้ง!
นายธนวรรธน์ มองว่า หากในท้ายสุดแล้ว รัฐบาลไม่สามารถผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ให้เกิดขึ้นเพื่อมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ตามที่คาดหวัง รัฐบาลก็จะต้องใช้งบกลางให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมองว่ารัฐบาลควรนำงบกลางไปใช้จ่ายเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ โครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระดับท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาวได้
“เรามองว่าถ้าไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลควรใช้งบกลางให้คุ้มค่าที่สุด เอาไปช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพในชุมชน ทำโครงการต่าง เช่น สร้างแหล่งน้ำชุมชนเพื่อป้องกันภัยแล้ง-น้ำท่วม, ทำโครงการพลังงานสะอาด โดยทำร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในท้องที่ และเป็นการชดเชยเม็ดเงินที่หายไปจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้” นายธนวรรธน์ ระบุ
คาดสมมติฐานเศรษฐกิจไทยปี 67 ไว้ 4 กรณี
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ไว้ใน 4 สมมติฐาน ซึ่งอัตราการขยายตัวของ GDP จะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไข ดังนี้
1. กรณีฐาน (Base Case) : คาด GDP โต 3.2% เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป, ธนาคารกลางของประเทศใหญ่เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง, สถานการณ์การเมืองในประเทศยังมีเสถียรภาพ
2. กรณีที่ดีกว่า (Better Case) กรณีฐาน+ดิจิทัลวอลเล็ต 1 : คาด GDP โต 4.2% เป็นกรณีฐาน ที่รวมกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เงื่อนไข 1 คือ มีผู้ได้รับสิทธิเพียง 90% 80% ของผู้ได้รับสิทธิ ใช้จ่ายเงินตามสิทธิครบทั้งจำนวนในเวลาที่กำหนดใช้งบประมาณ 4 แสนล้านบาท
3. กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) กรณีฐาน+ดิจิทัลวอลเล็ต 2 : คาด GDP โต 4.5% เป็นกรณีฐาน ที่รวมกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เงื่อนไข 2 คือ ผู้ได้รับสิทธิทุกคน ใช้จ่ยเงินตามสิทธิครบทั้งจำนวนในเวลาที่กำหนดใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาท
4. กรณีที่แย่กว่า (Worse Case) : คาด GDP โต 2.2% สงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยืดเยื้อ ทำให้เศรษฐกิจโลกซึมตัวลง, วิกฤติในทะเลแดง มีผลกดดันการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังตลาดยุโรป และอังกฤษ และมีผลให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันดิบสูงขึ้น