หอการค้าไทย-จีน เผยสัญญาณเศรษฐกิจดีขึ้น
• มั่นใจปีหน้า นักธุรกิจจีนลงทุนไทยต่อเนื่อง
• เอกชนเชื่อจีนลงทุน EV ในไทยสูงถึง 81.5%
• ดันการค้า-การลงทุนระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น
หอการค้าไทย-จีน เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเดือนพ.ย. พบ นักธุรกิจมั่นใจเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ขานรับนโยบายรัฐผุดโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน ได้ทำการสำรวจสมาชิกหอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน430 คน ระหว่างวันที่ 23 พ.ย.ถึง 7 ธ.ค. 2566 มีผลการสำรวจดังนี้
จากข้อมูลการบริโภคและการลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีสัญญาณการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น พบว่า 60.5% และร้อยละ 17.2% ของผู้ถูกสำรวจ มีความมั่นใจพอประมาณ และมีความมั่นใจมากตามลำดับที่เศรษฐกิจไทยจะดีอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี
การสอบถามถึงโอกาสและอุปสรรคต่อเศรษฐกิจไทย พิจารณาจากการส่งออกและปัญหาของหนี้ครัวเรือนต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าและบริการเติบโตเพียง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 ด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และค่าเงินบาทที่มีความผันผวน การสำรวจความมั่นใจในการส่งออกปี 2567 พบว่า 74.4% คิดว่ามีความเป็นไปได้ และ 11.7% ลงความเห็นว่าเป็นไปได้มาก ที่การส่งออกจะขยายตัวตามเป้า 3.6% แต่เมื่อพิจารณาถึงปัญหาหนี้ครัวเรือน 67.3% เห็นด้วย และยังมี 16.7% เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ที่หนี้ครัวเรือนจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
การลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ 55% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความเห็นว่าการลงทุนโครงสร้างระบบคมมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์)นั้น มีความสำคัญมาก และ 21.9% ให้ความเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญมากที่สุด มีเพียง 3.7% ให้ความสำคัญต่อโครงการน้อย
หากพิจารณาการลงทุนของจีนในประเทศไทยแล้ว 2 ปีที่ผ่านมาจีนเป็นประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุด เป็นการลงทุนใน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ด้วยสถานการณ์โลกที่มีความขัดแย้ง อาทิสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สงครามรบระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์
นอกจากนี้ การสำรวจยังได้สอบถามถึงผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนของจีนในประเทศไทยในปี 2567 พบว่า 63.5% คิดว่าการลงทุนจากจีนนั้นยังเพิ่มขึ้น ขณะที่ 16.7% คิดว่าการลงทุนยิ่งเพิ่มขึ้นมากในปี 2567 มีเพียงส่วนน้อยที่คิดว่าการลงทุนจากจีนจะชะลอตัวลง
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมากในปี 2566 ผู้ตอบแบบสอบถามมีรถยนต์ไฟฟ้าของจีนใช้อยู่แล้ว 11.8% และ 18.8% กำลังวางแผนที่จะซื้อรถไฟฟ้าของจีน ขณะที่มีรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ของจีนมากถึง 27.3% ส่วน 5.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีทั้งรถไฟฟ้าจีนและไม่ใช่ของจีนอยู่ในครอบครอง ส่วน 31.1% ยังคงใช้รถยนต์เครื่องสันดาปต่อไป โดยที่ยังไม่คิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนนั้นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น คำถามต่อเนื่องคือจีนจะเลือกประเทศใดเป็นศูนย์กลางการผลิตรถไฟฟ้าในอาเซียน 81.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความมั่นใจว่าจีนจะเลือกไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถไฟฟ้า 6.3% คิดว่าน่าจะเป็นเวียดนาม สำหรับมาเลเซีย และอินโดนีเซียนั้นเป็น 5.9% และ 5.4% ตามลำดับ
นักธุรกิจหอการค้าไทยจีนจะมีการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจอย่างไร จากสถานการณ์การรบกันระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ 40.2% มีการเตรียมพร้อมเพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงานและพึ่งพาพลังงานทดแทนมากขึ้น 35.5% คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะจบลงเร็ววันดังนั้นจึงยังไม่ได้เตรียมตัวในการปรับแผนธุรกิจ 12.7% ได้มีการวางแผนเพื่อเร่งหาคู่ค้ารายใหม่ๆ และ 8.2% มีการวางแผนเตรียมพร้อมที่จะลดต้นทุนบุคลากร
“จากรายงานของศุลกากรจีน พบว่าการค้าระหว่างประเทศของจีนกับไทย ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.2566) มีมูลค่าการค้ารวม 114,792.1 ล้าน เหรียสหรัฐ หดตัว 6.1% (-6.1%) โดยแบ่งเป็นการส่งออกมายังประเทศไทย มูลค่า 68,951.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 1.5% (-1.5%) และจีนนำเข้าสินค้าจากไทย มูลค่า 45,840.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 12.3% (-12.3%) ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของจีนในช่วง 11เดือนแรกของปี 2566 ที่มูลค่าการค้ารวมหดตัว 5.6% (-5.6%) การส่งออกลดลง 5.2% (-5.2%) และการนำเข้าลดลง 6% (-6%)” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว