กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยเสี่ยงสูง
• หากความเสี่ยงสูงจีดีพีอาจโตต่ำกว่า 3%
• ยัน ดิจิทัล วอลเล็ตดันเศรษฐกิจโต 1-1.5%
• นักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าแตะ 33 ล้านคน
กกร.ประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้า ขยายตัวระหว่าง 2.8-3.3% คาดเสี่ยงโตต่ำกว่า 3% ลุ้นยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 5 ล้านคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี2567 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.8-3.3% และมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เนื่องจากเผชิญปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อใน ระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้างหนี้เกินกำลัง รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุคโควิด-19
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยน แปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงานเพื่อเผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และการก้าวสู่ low carbon society พร้อมคาดส่งออกในปี 67 จะขยายตัวที่ระดับ 2-3% จากปีนี้ที่ติดลบ 1-2% และมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 5 ล้านคน
ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถดำเนินการได้เต็มวงเงิน 500,000 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยหนุน GDP ให้ขยายตัวเพิ่ม ขึ้นอีกราว 1-1.5%
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะเป็นประธาน กกร. กล่าวว่า ในปี 2567 มีหลายปัจจัยแปรผัน ที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเน้นไปที่ การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนราคาพลังงานควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพให้เกิดความสมดุล และการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง
นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พบว่า หนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ณ ไตรมาส 1/2566 เป็น 2.79% ณ ไตรมาส 3/2566 จากทุกสินค้า และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ราว 15% นอกจากนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไข ปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธ.ค.2566 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้ 2,793.29 ล้านบาท เป็นการ เริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแล ประชาชนกลุ่มเปราะบาง
โดยที่ประชุม กกร. เห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น รวมถึง การปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ขณะที่ เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถ ยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% การส่งออกยังชะลอตัว ตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อ เนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 43,000 บาท จากที่เคยประมาณการ 45,500 บาท
นายผยง ศรีวนิช ประธานกรรมการสภาธนาคารไทย เปิดเผยถึงการแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งปัจจุบันข้อมูลทั้งหมดยังไม่ได้อยู่ในระบบ จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเข้ามาอยู่ในระบบเพื่อทุกภาคส่วนได้มีการพิจารณากลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในภาวะที่ระบบยังไม่สมบูรณ์ต้องมีกลไกรัฐเข้าไปสนับสนุนและเข้าไปบังคับใช้กฎหมาย และผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบเพิ่มมากขึ้น
โดยสมาคมธนาคารไทย มีการหารือกับ ธปท. ในการผลักดันแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ซึ่ง ธปท.ได้พูดถึงเรื่องหนี้นอกระบบ หนี้เสียที่มีอยู่ในปัจจุบัน หนี้ที่ยังไม่ได้เป็นหนี้เสียแต่เป็นหนี้ที่เรื้อรัง รวม ถึงหนี้ใหม่ที่อาจเพิ่มขึ้น และการไม่กระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้ได้เกินความจำเป็นและไม่มีความรับผิดชอบ จะเห็นว่าการดำเนินการที่ได้ ประสานร่วมกับ ธปท.และรัฐบาลอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นระบบและยั่งยืน