SCB EIC วิเคราะห์ เรื่อง ธุรกิจโรงไฟฟ้าปี 2567 แนวโน้มยังสดใส
อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า (Power) ปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ท่ามกลางความท้าทายจากการปรับโครงสร้างพลังงานและค่า Ft ของรัฐบาล ขณะเดียวกัน พลังงานหมุนเวียนในไทยและทั่วโลกยังคงเติบโตจากการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตามเป้าหมาย Net zero pathway และนโยบาย ESG
ความต้องการใช้ไฟฟ้าในไทยยังคงเติบโตตามการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มไฟฟ้านอกระบบทยอยเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้คาดว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งในและนอกระบบการไฟฟ้าจะขยายตัว 3.5%YOY ในปี 2567 และ 3.3%(CAGR) ในปี 2568-2570 ขณะที่ค่า Ft ของไทยมีทิศทางปรับลดลง หลังจากสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดในช่วงต้นปี 2566 ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่ Ft ของไทยในปี 2567 อาจอยู่ในระดับต่ำ หนุนให้ค่าไฟฟ้าอยู่ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย หากรัฐบาลยังคงให้เลื่อนการจ่ายคืนภาระหนี้คงค้าง (AF) ที่มีต่อ EGAT พร้อมกดดันให้ Pool gas price อยู่ในระดับต่ำ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนปริมาณก๊าซในอ่าวไทยใน Pool gas ทั้งนี้การลดลงของค่า Ft อาจส่งผลต่อรายได้ของโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่รายได้อ้างอิงกับค่า Ft เช่น โรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) สูง โรงไฟฟ้าที่มีสัญญา Private PPA และโรงไฟฟ้า SPP (Non-firm)
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางลบจากค่า Ft ที่ลดลง อาจถูกลดทอนลงและไม่รุนแรงเหมือนในปี 2565 เนื่องจาก Ft ที่ลดลงสอดคล้องไปกับต้นทุนพลังงานก๊าซที่ลดลง (แม้ว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติอาจมีความเสี่ยงจากปัญหา Geopolitics บ้างในระยะสั้น) สำหรับแนวโน้มในระยะกลาง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันมากขึ้นจากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลอาจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสของโลก รวมถึงสอดรับไปกับแนวทาง Thailand Taxonomy[1] ที่เริ่มดำเนินการในกลุ่มพลังงานไปแล้ว
ความท้าทายของธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ต้องจับตา
1.ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อค่า Ft โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่รายได้อ้างอิงกับค่า Ft อาทิ
2.นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติและการเก็บ AF เพื่อชำระคืนหนี้ให้แก่ EGAT เร็วกว่าที่คาด
3.ราคาก๊าซโลกที่ไม่ทยอยลดลงตามที่คาดการณ์ จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่าง ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยง
จาก Geopolitical เช่น ความขัดแย้งในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เป็นต้น
4.ค่าเงินบาทที่อาจอ่อนกว่าคาด ซึ่งจะกระทบต้นทุนการนำเข้าก๊าซ
5.แผน PDP ใหม่ ที่คาดว่าจะเผยแพร่ภายในปี 2567 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงใน Energy mixed ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งอาจมีการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนสำคัญอย่าง พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เป็นต้น
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มนอกระบบการไฟฟ้า (ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากทั้งในและนอกระบบการไฟฟ้าขยายตัวราว 17% ต่อปี และในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 12%) ปัจจัยสำคัญมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากกลุ่มที่ผลิตเพื่อขายลูกค้าโดยตรง (Private PPA) และกลุ่มที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง แนวโน้มในระยะข้างหน้า คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง หากพิจารณาจากแผน PDP ใหม่ที่คาดว่าจะเปิดเผยในปี 2567 กำลังการผลิตของกลุ่มแสงอาทิตย์และพลังงานลมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากแผนเดิม (PDP2018Rev1) ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจาก Biomass/Gas/Waste มีข้อจำกัดในการเติบโต เนื่องจากในปัจจุบันวัตถุดิบที่นำมาผลิตไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีมูลค่าสูงกว่าได้ ผนวกกับราคารับซื้อไฟ PPA ยังไม่จูงใจ นอกจากการเติบโตในตลาดไทยแล้ว
สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศก็มีโอกาสเติบโตเช่นกัน ทั้งกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม (ส่วนหนึ่งมาจากเป้าหมายการลด GHG และ Net zero pathway ของหลายประเทศทั่วโลก) ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เช่น ตลาดอินเดียสำหรับกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ ตลาดเวียดนามและไต้หวันสำหรับกลุ่มพลังงานลม เป็นต้น
ประเด็นสำคัญของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ต้องจับตา
1.ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อค่า Ft โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่รายได้อ้างอิงกับค่า Ft เช่น Private PPA SPP&VSPP (โดยเฉพาะกลุ่ม Biomass/Gas ที่มีต้นทุนอิงกับราคาสินค้าเกษตร)
2.ปัจจัยสนับสนุนจากแผน PDP ใหม่ ที่คาดว่าจะเผยแพร่ภายในปี 2567 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงใน Energy mixed ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งอาจมีการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนสำคัญอย่าง พลังงานแสงอาทิตย์และลมมากขึ้น (มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากแผน PDP2018Rev1 มาก)
3.นโยบายที่อนุญาตให้ดำเนินการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อาทิ Third Party Assess (TPA) และ Smart grids (Off-grids) รวมถึงการเปิดให้มีตลาดซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนบนแพลตฟอร์มเป็นต้น
ESG ISSUE ของโรงไฟฟ้าจะมุ่งเน้นไปที่หลักสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นด้วย ซี่งในปัจจุบันพลังงานที่ใช้ผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกมากถึง 31% ส่วนประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนการปล่อย GHG จากการผลิตไฟฟ้าประมาณ 24% ทั้งนี้จากแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมนำมาสู่เป้าหมาย Net zero emission ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าในไทยได้มีการปรับตัวให้การผลิตไฟฟ้ามีการลดการปล่อย GHG ลงและเพิ่มการสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ประกอบการผลิตไฟฟ้าในช่วงการเปลี่ยนผ่าน เช่น CCUS, Low-carbon hydrogen และ Ammonia, Energy storage system, Fuel cell และ Nuclear เป็นต้น นอกจากนี้ ภาคการเงินทั่วโลกและไทยได้มีการตอบรับนโยบาย ESG โดยส่งเสริม Green (Sustainable) Bond & Loan ให้กับโครงการพลังงานหมุนเวียน และนำ Taxonomy มาใช้สำหรับการจัดกลุ่มกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยประเทศไทยได้เริ่มนำ Thailand Taxonomy มาใช้แล้วในภาคการขนส่ง และภาคการผลิตไฟฟ้า ที่เรียกว่า Thailand Taxonomy ระยะที่ 1
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่… https://www.scbeic.com/th/detail/product/power-overview-271023
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : นางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส
นายจิรวุฒิ อิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโส
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
EIC Online : www.scbeic.com
Line : @scbeic