ส.อ.ท.ชี้งบปี 67 ล่าช้า กระทบเศรษฐกิจแน่นอน
ส.อ.ท. กังวลงบฯ 67 ล่าช้ากระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะรัฐใช้งบฯ พัฒนาเทคโนโลยีแบบมุ่งเป้า เร่งลงทุนน้ำทั้งระบบ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 34 ในเดือนตุลาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “เรื่องใดที่ภาคอุตสาหกรรมอยากเห็นในแผนการใช้งบประมาณปี 2567” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลต่อผลกระทบของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่ล่าช้า และอาจส่งผลกระทบต่อการนำงบประมาณไปดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแล้ว จากการประเมินของ สศช. GDP ไตรมาสที่ 2/2566 ที่ผ่านมา ขยายตัวเพียง 1.8% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสที่ 1/2566 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ด้วยข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาและเงื่อนไขต่างๆ อาจทำให้การจัดสรรงบประมาณฯ ไม่สามารถตอบโจทย์ในการลงทุนสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวได้
จากผลสำรวจยังพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ คาดหวังให้รัฐบาลให้ความสำคัญและจัดสรรงบประมาณใช้จ่ายที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว อาทิ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมแบบมุ่งเป้าทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม รวมทั้ง การลงทุนด้านการจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้งและอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต
เมื่อถามถึงสิ่งที่ภาครัฐควรปรับการจัดทำงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณในระยะยาว พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. แนะนำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบูรณาการวางแผนงบประมาณเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน มีการพัฒนาและนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการติดตามวัดผลประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณควบคู่กับการเปิดเผยข้อมูลให้มากขึ้น รวมถึงเร่งพัฒนากลไกการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เช่น ปรับโครงสร้างภาษี, สร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเข้ามาในระบบภาษี (E-Tax Invoice, E-Withholding TAX) เป็นต้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 243 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 34 จำนวน 5 คำถาม ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้าในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ความล่าช้าในการนำงบประมาณมาดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 63.4%
อันดับที่ 2 : การจัดสรรงบประมาณไม่ได้ตอบโจทย์ในการลงทุนสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว 56.8%
อันดับที่ 3 : การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไปเร่งและกระจุกตัวอยู่ในช่วงไตรมาส 3, 4 46.5% และส่งผลให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกหดตัว
อันดับที่ 4 : โครงการลงทุนใหม่ๆ ของภาครัฐ ต้องหยุดชะงักหรือชะลอออกไป 44.4%
2. รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณใช้จ่ายในเรื่องใดเพื่อให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม แบบมุ่งเป้า 63.0%
อันดับที่ 2 : ลงทุนด้านการจัดการน้ำทั้งระบบเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้งและอุทกภัย 52.7% ในระยะยาว
อันดับที่ 3 : ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้บริโภค 51.9%
อันดับที่ 4 : พัฒนาระบบการศึกษาและบุคลากรรับรองความต้องการในอนาคต 48.6% และยกระดับระบบสวัสดิการแรงงาน
3. ภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SME ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : มาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับ SME 71.6% เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
อันดับที่ 2 : จัดตั้งกองทุนเพิ่มผลิตภาพการผลิตสำหรับ SME ในการใช้ระบบ 53.9% Automation & Robotics และส่งเสริมการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อันดับที่ 3 : ส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในการซื้อสินค้าจาก SME ให้เพิ่มขึ้น 51.4% จาก 41% เป็น 50% ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างฯ ในแต่ละปี
อันดับที่ 4 : เพิ่มวงเงินการส่งเสริมให้ SME ค้าขายระหว่างประเทศผ่านโครงการ 40.7% SME Pro Active
4. ภาครัฐควรปรับการทำงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณในระยะยาวเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : บูรณาการวางแผนงบประมาณเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน 68.7% ระหว่างหน่วยงาน
อันดับที่ 2 : นำระบบดิจิทัลมาใช้ในการติดตามวัดผลประสิทธิภาพ 62.6% ของการใช้จ่ายงบประมาณ และเปิดเผยข้อมูลให้มากขึ้น
อันดับที่ 3 : พัฒนากลไกการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ เช่น ปรับโครงสร้างภาษี, 56.4% สร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเข้ามาในระบบภาษี เป็นต้น
อันดับที่ 4 : วางแผนในการลดความเสี่ยงจากภาระผูกพันงบประมาณ 38.3% และให้ Outsource งานให้เอกชนดำเนินการ
5. หน่วยงานใดควรได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : กระทรวงอุตสาหกรรม 68.3%
อันดับที่ 2 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 51.0%
อันดับที่ 3 : กระทรวงพาณิชย์ 42.8%
อันดับที่ 4 : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 41.6%
อันดับที่ 5 : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 36.6%